นายกฯ ย้ำเอสแคปไทยยึด 3 แนวทางเติบโตอย่างสมดุล
นายกฯ ย้ำในเวทีเอสแคป ไทยยึด 3 แนวทาง การเติบโตอย่างสมดุล การเติบโตอย่างมีภูมิต้านทาน และการเติบโตอย่างรอบด้านและครอบคลุม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและก้าวสู่ยุค “Next Normal”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาในพิธีเปิดการประชุมประจำปีของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) สมัยที่ 78 ผ่านการบันทึกเทปวีดิทัศน์ เป็นโอกาสพิเศษที่เอสแคปฉลองครบรอบ 75 ปีของการก่อตั้ง โดยในวันนี้ โลกและภูมิภาคกำลังเผชิญความท้าทายที่มีความหลากหลายและมีมิติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ความเหลื่อมล้ำในมิติต่าง ๆ ทั้งภายในและระหว่างประเทศเด่นชัดขึ้น และการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อยู่ในภาวะชะงักงัน นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ประเทศไทยยึดมั่นและเชื่อมั่นในระบบพหุภาคี สหประชาชาติ และเอสแคปมาตลอด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวเสนอ 3 แนวทางเพื่อก้าวข้ามการฟื้นฟูหลังวิกฤตโควิด-19 ไปสู่การพัฒนาในภูมิภาคอย่างมั่นคงยั่งยืนในยุค “Next Normal” คือ 1. การเติบโตอย่างสมดุล (balanced growth) พลิกโฉมการพัฒนาไปสู่แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบสนองและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. การเติบโตอย่างมีภูมิต้านทาน (resilient growth) สร้างความเข้มแข็งในการรับมือต่อปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง และ3 การเติบโตอย่างรอบด้านและครอบคลุม (comprehensive and inclusive growth)
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วย การพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน รวมทั้งการพัฒนาคนทุกช่วงวัยผ่านการศึกษาทุกรูปแบบ และการเสริมสร้างทักษะต่าง ๆ เป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตไปด้วยกัน พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยยึดแนวทางทั้งสามประการในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและก้าวสู่ยุค “Next Normal” และมีหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหัวใจในการพัฒนา และนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคของไทยในปีนี้ด้วย ซึ่งไทยมี EEC ที่ส่งเสริมและรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ
รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดความหลากหลาย รวมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขที่จำเป็นและขยายให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่มในสังคม รวมถึงแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า เอสแคปสามารถมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกและภาคส่วนต่าง ๆ ในภูมิภาค รวบรวมองค์ความรู้ และแนวปฏิบัติที่ดีตลอดจนระดมทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของเราต่อไป โดยไทยอยากเห็นเอสแคปพัฒนาศักยภาพไปสู่องค์กรที่สามารถใช้องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ
ในการคาดการณ์และแจ้งเตือนวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศสมาชิกเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที และย้ำถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของไทยที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของเอสแคป และเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่สร้างสรรค์ เพื่อบรรลุ “วาระร่วมกัน” ในการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับคนทุกรุ่น ซึ่งเป็น “ความรับผิดชอบร่วมกัน”ของเราทุกคน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews