นายกฯ ฉุนลุกขึ้น โต้ “ครูมานิตย์” หลังอภิปรายเสียงดุดัน เป็นห่วงกลัวเจ็บคอ ปวดท้อง บอกให้หยุดพูดปมตั้งส.ว.250 คนโหวตเลือกเถอะ ย้ำเข้ามาตามกระบวนการสภา ปัดทำเศรษฐกิจไทยพังพินาศล้มเหลว ยันไทยไม่เป็นแบบศรีลังกาแน่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลุกขึ้นชี้แจง หลังถูกนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจในหลายประเด็นอย่างดุดัน ว่า เป็นห่วงว่าท่านจะเจ็บคอปวดท้องเพราะเน้นทุกเรื่องซึ่งเราก็ 608 ด้วยกันแล้ว ผมไม่ได้อะไรกับท่านและจำได้ว่าเจอกันครั้งแรกตอนลงพื้นที่จ.สุรินทร์ ก็พูดจากันดี ตนเองไม่โกรธเคืองอะไรเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว
ส่วนที่มีการการอภิปรายถึงการเข้ามาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยการโหวตจาก ส.ว.250 คน นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตนเองเข้ามาด้วยกลไกของรัฐสภา โดยมีพรรคการเมืองเสนอชื่อตนเองเข้ามา มีการจัดตั้งรัฐบาล แล้วถึงเสนอชื่อผ่านไปยัง ส.ว. เพราะหากไม่การเสนอชื่อตนเองเข้ามา ส.ว.ก็ไม่สามารถตั้งใครเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ พร้อมย้ำว่า ส.ว. 250 คน มีเลือกมาจากพื้นที่ 50 คน นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นคนเลือกเข้ามา มีการคัดสรรมาโดยคณะกรรมการตามความเหมาะ จึงขอให้เลิกพูดเรื่องนี้สักที เป็นเรื่องกติกา ตนเองไม่เคยไปก้าวล่วงในเรื่องทางการเมือง เพราะสามารถไปสั่งใครได้ ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม เป็นเรื่องความคิดเห็นร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล
ขณะที่เรื่องของงบประมาณที่มีการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีโทรศัพท์ไปขอเอง นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จำไม่ได้จริงๆ ซึ่งไม่บังอาจไปขอได้ ตนเองแทบไม่รู้ใครเลยตอนนี้ เพราะไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับนักการเมืองทั้งสิ้น ตอนนั้นเป็นเพียงผู้บัญชาการทหารบก และจำได้ว่าไปชี้แจงในห้องเล็กๆ ที่รัฐสภา โดยตนเองชี้แจงในส่วนงบประมาณของกองทัพบก ถ้าให้มาก็คือคณะกรรมมาธิการให้มา แต่ไม่เคยไปขออะไรเป็นพิเศษ ไม่กล้าหรอกครับและขอให้เพียงในสิ่งที่ควรจะได้ สิ่งที่จำเป็น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พร้อมย้ำว่าไม่เคยไปขอใครเป็นการส่วนในเรื่องเหล่านี้
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าตั้งแต่ตนเองเข้ามาทำเศรษฐกิจพังพินาศ ล้มเหลว ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และความอยู่ดีกินดีได้ โดยอยู่รั้งท้ายในภูมิภาค ยืนยันว่า ประเทศไม่ได้อยู่รั้งท้าย โดยเปรียบเทียบ GDP ของไทยในกลุ่มอาเซียน10 ประเทศไทยมีGDP ขนาดใหญ่ เป็นอันดับที่ 2 ขณะที่ GDP PER CAPITA ไทยอยู่ในอันกับที่ 4 แม้ในช่วงโควิด เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าจากการขับเคลื่อนของรัฐบาล ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีการฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2564 เติบโต 1.6% จากที่ติดลบก่อนหน้านั้น ส่วนในปี 2565 และปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวได้สูงขึ้นถึง 3.3-4.3% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ตามIMF ขณะที่อัตราการว่างงานของไทยก็ต่ำสุดในอาเซียน มีการบริหารเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างสมดุล ดังนั้น ต้องพิจารณาจากหลายส่วน หลายด้าน พร้อมยืนยันว่า ประเทศไทยจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบประเทศศรีลังกา อย่างแน่นอน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews