นายกฯ กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องติดตามราคาพลังงาน-เงินเฟ้อใกล้ชิด ย้ำต้องไม่กระทบค่าครองชีพ ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด เล็งปั้นไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงติดตามสถานการณ์พลังงานไทยและโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมาราคาน้ำมันโลกเริ่มปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีความผันผวนสูง ทั้งจากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ
รวมทั้งการคาดการณ์ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลกที่มีแนวโน้มถดถอย ขณะที่ไทยยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง ท่านนายกฯ จึงกำชับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานภายในประเทศอย่างสมดุล ต้องไม่ให้เกิดการขาดแคลนพลังงาน
รวมทั้งราคาน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าในประเทศต้องไม่กระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตและการบริการ ที่สำคัญต้องไม่เป็นภาระค่าครองชีพ ประชาชนต้องเดือดร้อนน้อยที่สุด ขณะเดียวกัน รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังวางอนาคตให้ไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 คือ การตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 รวมถึงการส่งเสริมการผลิตรถสามล้อ เรือโดยสาร และรถไฟระบบรางอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลยังมุ่งเพิ่มอุปทานและอุปสงค์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า
โดยส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพ ผ่านมาตรการจูงใจด้านภาษีและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีการใช้ยานยนต์มลพิษต่ำในประเทศ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศ และสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (BEV) ลง 80% เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่จดทะเบียน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป
และลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) รถยนต์สามล้อรับจ้าง รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่ครบกำหนดเสียภาษีประจำปี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566 ให้ปรับลดภาษีลง 90% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน ครม. เห็นชอบการใช้มาตรการภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ กระตุ้นให้เกิดการเร่งผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย 2 ปีแรก (ปี 65 – 66) เน้นสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างกว้างขวางโดยเร็ว
ครอบคลุมทั้งการนำเข้ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) และกรณีรถยนต์ รถยนต์กระบะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (CKD) ด้วยการยกเว้นหรือลดอากรนำเข้า ลดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด และช่วง 2 ปีถัดไป (ปี 67 – 68) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก ยกเลิกการยกเว้น ลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) แต่ยังคงมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด
ทั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่า มาตรการต่างๆ จะช่วยส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม ปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทำให้ยังสามารถเป็นฐานการผลิตของภูมิภาครองรับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตทั่วโลกด้วย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews