พปชร. ไม่ติดใจ “บิ๊กตู่” ตีกินนโยบาย
พปชร. ไม่ติดใจ “บิ๊กตู่” ตีกินนโยบาย ‘อุตตม-สนธิรัตน์’ ชี้ย้อนดู 8 ปี ก็รู้ว่าผลงานใคร
นายอุตตม สาวนายน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงนโยบายต่างๆ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศบนเวทีปราศรัย จ.นครราชสีมา เมื่อ 25 ก.พ. 66 ซึ่งพบว่ามีหลายนโยบายทับซ้อนกับของพรรคพลังประชารัฐ ว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ซีเรียสในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ
ซึ่งได้ประกาศชัดเจนก่อนหน้านี้ว่า อะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พรรคพลังประชารัฐยินดีให้การสนับสนุน ไม่ต้องการเอาชนะคะคานกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน ต่างก็รับทราบดีว่านโยบายต่างๆ มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนคิดริเริ่มและผลักดันจนเป็นรูปธรรม เพียงแต่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกเรื่องจะต้องผ่านความเห็นชอบของ ครม. ซึ่งมีนายกฯ เป็นหัวหน้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหิ้วเอานโยบายเหล่านั้น ติดตัวไปอยู่พรรคอื่นด้วย
นายอุตตม กล่าวต่อว่า อย่างนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็แค่ย้อนกลับไปดูว่า โครงการนี้ เปิดให้ผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนครั้งแรกในปี 2559 ซึ่งขณะนั้น คนที่เข้ามาคุมนโยบายเศรษฐกิจให้รัฐบาล คสช. คือ ท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่กลางปี 2558 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ท่านสมคิด กำกับดูแลหน่วยงานด้าน เศรษฐกิจและที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน คือ
กระทรวงการคลัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน ขณะที่ผมและท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เข้าร่วม ครม. ไปเป็นรัฐมนตรีคุม กระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมคิด ซึ่งได้มีนโยบายต่าง ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นายอุตตม กล่าวอีกว่า เมื่อผมทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ส.ส. ทุกคนของพรรคพร้อมใจกันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ ท่านสมคิด และพวกผมก็ยังร่วม ครม. คุม กระทรวงด้านเศรษฐกิจ เดินหน้าผลักดันนโยบายที่ริเริ่มเอาไว้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งพวกผมลาออกจาก ครม. ในปี 2563
“ย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็จะรู้ว่า ใครเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันนโยบายเหล่านี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ถ้าพรรคไหนเห็นว่านโยบายของเราดี จะนำไปสานต่อ พรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประวิตร ก็ยินดี ไม่ขัดข้องอะไร”
ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ความเห็นว่า นโยบายต่างๆ เหล่านี้ เป็นการริเริ่มของท่านสมคิด อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพวกตน ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล คสช. ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จึงถือได้ว่าเป็นผลผลิตของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึง EEC
“ขอเรียนย้ำว่า อย่างโครงการ EEC หรือโครงการเขตพิเศษภาคตะวันออก มาจากแนวคิดของ ท่านสมคิด และท่านอุตตม ที่นำเสนอต่อรัฐบาล คสช. เพื่อพลิกฟื้นประเทศ แล้วเดินหน้าผลักดันต่อในนามพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นโครงการหลักของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะพลิกฟื้นด้านการลงทุนแล้ว ยังยกระดับ ด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของไทยให้ก้าวกระโดดสู่ไทยแลนด์ 4.0” นายสนธิรัตน์กล่าวย้ำ
“ส่วนการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการจัดการน้ำ ประชาชนก็ทราบดีว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ขับเคลื่อนมาตลอด ดังที่ปรากฏข้อมูลผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ตลอดระยะเวลาที่พลเอกประวิตรกำกับดูแลงานด้านน้ำได้ลงพื้นที่กว่า 79 ครั้ง ใน 55 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงในหลายเรื่อง เช่น มีการเพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้าน มีการพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินให้สามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ประชาชนได้รับประโยชน์จากน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตรถึง 1.33 ล้านครัวเรือน ในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ ผมคิดว่าคนที่คิดและคนลงมือทำ จะเข้าใจและผลักดันให้เกิดขึ้นจริงประชาชนได้ประโยชน์จริง มากกว่าการสั่งการตามหน้าที่”
นายสนธิรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จริง ๆ แล้ว พรรคพลังประชารัฐไม่คิดว่าจะต้อง มาตอบโต้หรือช่วงชิงว่าใครเป็นเจ้าของนโยบาย เพราะทุกพรรคที่ร่วม รัฐบาลต่างก็ถือว่ามีส่วนร่วมกับทุกนโยบายที่ผ่านมติ ครม. แต่ในเมื่อสังคม เกิดความกังขา และสื่อมวลชนสอบถามมา เราก็พร้อมจะไล่เรียงเพื่อให้เกิดความชัดเจน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews