โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ เร่งรัดการดำเนินงานการขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต แก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรป่าไม้
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องการขับเคลื่อนโครงการป่าชายเลนสำหรับชุมชน และโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต พร้อมเร่งรัดการดำเนินงานและติดตามการดำเนินงานด้านป่าชายเลนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นรัฐภาคีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพิธีสารโตเกียว เมื่อปี พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2545 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งในการประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าผู้แทนไทยได้กล่าวถ้อยแถลงยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพร้อมจะยกระดับการดำเนินงาน
เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเร่งดำเนินการรับมือและแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย
พร้อมทั้งขอความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่น ชุมชน ในการยกระดับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ตามเจตนารมณ์ของประชาคมโลกที่ปรากฏในเป้าหมายของความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ขับเคลื่อนการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกสุทธิภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน จำนวนทั้งสิ้น 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี ค.ศ. 2580 ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต กำหนดเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน 300,000 ไร่ ภายใน 10 ปี
เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2565 – พ.ศ. 2574 พร้อมทั้งออกระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูกและบำรุงป่าชายเลน สำหรับบุคคลภายนอก และสำหรับชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน ภาคอุตสาหกรรมที่มีกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการของเสีย
ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจก การจัดการในภาคขนส่ง รวมถึงการปลูกต้นไม้และอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะช่วยกักเก็บก๊าซเรือนกระจกและยังสามารถรักษาสมดุลของความหลากหลายทางชีวภาพได้อีกด้วย
“รัฐบาลเน้นย้ำให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน และคนรุ่นหลัง การอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรป่าไม้เป็นนโยบายสำคัญเพื่อประโยชน์ในระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม และยังสามารถเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการใช้ คาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย
เพราะป่าชายเลนถือเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญยิ่ง สอดคล้องกับแนวทางการจัดการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศแบบสมดุลเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยเสมอมา” นายอนุชาฯ กล่าว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews