Home
|
ข่าว

“พิธา” ย้ำแก้ม.112 ปัดล้มล้างการปกครอง-ไม่ทำตั้งรบ.สะดุด

Featured Image
“พิธา” ย้ำแก้ ม.112 ปัดล้มล้างการปกครอง ไม่ทำรัฐบาลสะดุด เชื่อ ส.ว.โหวตหนุนนั่งนายกฯ ขณะรอคุยเพื่อไทยหาข้อสรุปประธานสภา

 

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารายงานตัว ส.ส.ว่า การเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ ครั้งนี้ พรรคก้าวไกลมี ส.ส. 151 คนซึ่งมากกว่าครั้งที่แล้ว 2 เท่า ก็จะเข้ามาช่วยกันผลักดันงานที่ทำค้างไว้ และผลักดันกฎหมายเพื่อประชาชน ส่วนสาเหตุที่นำ ส.ส.มารายงานตัวในวันนี้ มีหลายเหตุผลเพราะก่อนหน้านี้ตนติดโควิด ไม่สามารถมาได้ อีกทั้งวันที่ 27 มิ.ย. มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย จึงเชื่อว่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี

 

 

ส่วนกรณี ส.ว. ออกมาประกาศจะไม่โหวตให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ส่วนตัวก็ไม่กังวลใจเพราะเท่าที่ได้พูดคุยกับหลายคนก็มีดุลยพินิจโหวตเลือกตามบรรทัดฐานที่เคยทำไว้ในปี 2562 ซี่ง ส.ว. เคยพูดไว้ว่า หากสภาล่างสามารถรวมเสียงได้เกิน 251 คน จะไม่ฝืนมติจากสภาล่างหรือมติจากประชาชน ดังนั้น ในภาพรวม ส.ว.ทั้ง 250 คนจะยึดตามหลักการนี้ให้มั่น ไม่ใช่เรื่องของบุคคลว่า จะโหวตให้นายพิธาหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของหลักการถ้ายึดตามนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล

 

 

สำหรับกรณีนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภ่ ระบุ จะมี ส.ว. โหวตให้นายพิธาไม่เกิน 5 เสียงนั้น ขอยืนยันว่า สิ่งที่นางสาวศิริกันยา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อเคยพูดไว้เป็นเรื่องจริง ซึ่งพรรคก้าวไกลพยายามพูดคุยทำลายกำแพงระหว่าง 2 สภา จึงมีความคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้ชี้แจงข้อกังวลใจของ ส.ว. ในเชิงหลักการไปแล้ว อีกทั้ง ส.ว. หลายคน ก็ยังไม่ได้พูดความคิดของตัวเองออกมากับสื่อมวลชน เพราะรอเวลาอยู่ พร้อมยืนยันอีกครั้งว่า มีจำนวนเสียง ส.ว. พอที่จะโหวตให้ตนเป็นนายกฯ

 

 

ทั้งนี้ จะลดเพดานการแก้ไข มาตรา 112 เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. หรือจะยืนยันตามนโยบายที่หาเสียงไว้ นายพิธา กล่าวว่า การแก้มาตรา 112 ได้พูดก่อนการเลือกตั้งและตกผลึกว่าเป็นทางออกให้สังคมไทย เพราะที่ผ่านมามีการใช้มาตรานี้ เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง รังแกคนเห็นต่างและเยาวชน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับสถาบันไหนเลย ดังนั้น การจะรักษาสิ่งที่เรารัก ก็ควรจะมีการแก้ไขตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะไม่ทำให้เส้นทางการจัดตั้งรัฐบาลต้องสะดุดลง

 

 

แต่เมื่อมีข้อมูลหลายฝ่าย ก็อาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าแก้ไขก็คือแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก ซึ่งเท่าได้คุยกับวุฒิสภาและหลายฝ่ายก็เข้าใจมากขึ้นว่า การที่เรารักษาระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับประเทศไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก็ต้องทำความเข้าใจกันมากขึ้น จึงไม่น่าเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด

 

 

ส่วนมาตรา 112 จะเป็นอุปสรรคทำให้ไปไม่ถึงนายกรัฐมนตรี จะทำอย่างไร นายพิธา คิดว่าถ้าจะมี ก็เป็นสิ่งที่กังวลใจ เพราะเหมือนกับว่าเป็นการเอาเสียงที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาปะทะกับสถาบันโดยตรงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะฉะนั้นอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เห็นตรงกันแล้วมาบริการจัดการ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติและรัฐสภา

 

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขของมาตรา 112 กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ ส.ว. ไม่โหวตให้ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ เป็นเรื่องระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและอัยการสูงสุด เพราะมองว่า การแก้ไขกฎหมายกฎหมายหนึ่งไม่เท่ากับการล้มล้างการปกครองอย่างที่กล่าวหาที่เกินจริงไปเยอะ เรามีความตั้งใจที่จะรักษาประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เป็นหลักให้เรายืนแน่นอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็อธิบายกันอยู่เรื่อยๆ คิดว่าไม่ได้เป็นตามกระแสข่าว และการแก้ไขมาตรา 112 พรรคก้าวไกลก็ใช้เป็นนโยบายซึ่งผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว

 

 

ขณะเดียวกัน นายพิธา ยังไม่ขอให้ความเห็น กรณีหยก ธนลภย์ เยาวชนวัย 15 ปี ที่มีปัญหากับโรงเรียน โดยเฉพาะนโยบายโรงเรียน ทั้งแต่งตัว ทำผม โดยในช่วงท้าย ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสรุปแล้วจะเป็นของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ขอให้รอฟังการประชุมร่วมกันกับพรรคเพื่อไทย และจะมีการแถลงร่วมกัน

 

 

ทั้งนี้ นายพิธา ให้สัมภาษณ์ทั้งหมดเพียง 10 นาที และทันทีที่ผู้สื่อข่าวตะโกนสอบถามว่า มีแผนสำรองหรือไม่ หากตำแหน่งประธานสภาฯไม่ได้เป็นของพรรคก้าวไกล นายพิธา ปฏิเสธตอบคำถามและเดินออกจากวงสัมภาษณ์ เพื่อเข้าไปรายงานตัวทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube