Home
|
ข่าว

“สิทธิพล” ชี้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังห่างเป้านายกฯหาเสียงไว้

Featured Image
“สิทธิพล” เผยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบนี้ห่างเป้าที่นายกฯหาเสียงไว้ แนะ 3 ข้อเสนอ แค่แสดงออกความไม่พอใจคงไม่เพียงพอ ควรเร่งพูดคุย คกก.ไตรภาคีเพื่อปรับค่าแรงอีกครั้ง

 

 

 

นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ ทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล กล่าวถึงมติคณะกรรมการค่าจ้างที่เห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราตั้งแต่วันละ 2-16 บาท คิดเป็นอัตราเฉลี่ยที่ 2.37% โดยบางจังหวัดปรับขึ้นเพียง 2 บาทหรือคิดเป็น 0.6% เท่านั้น ส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำเป็น 330-370 บาท ต่ำกว่าที่รัฐบาลเคยตั้งเป้าไว้ที่ 400 บาท

 

 

 

ซึ่งนโยบายค่าแรงขั้นต่ำมีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างน้อย 3 มิติ มิติที่ 1 ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ การขึ้นค่าแรง โดยเฉพาะสำหรับแรงงานที่หาเลี้ยงชีพด้วยค่าแรงขั้นต่ำ มีบทบาทสูงต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำน้อย ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ย่อมส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ

 

 

 

ซึ่งค่าแรงที่ปรับ ณ ขณะนี้ไม่สอดคล้องกับการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ โดยประเทศไทยมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (ปี55-65) อยู่ระหว่าง 28-54 บาท คิดเป็นอัตราเติบโตเพียงปีละ 0.93%-1.8% เท่านั้น ค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ย่อมกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาค เพราะขาดหัวจักรสำคัญคือการจับจ่ายของภาคแรงงานซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ

 

 

 

มิติที่สอง ต่อมาตรฐานการดำรงชีพของแรงงาน อัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้น 0.6%-4.5% สวนทางกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจำเป็นหรือสินค้าพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตของแรงงานกลุ่มนี้ อย่างอาหาร เช่น จากข้อมูลราคาไข่หรือนมปีนี้ (ม.ค-พ.ย. 66) ปรับเพิ่มขึ้นถึง 7.54% หรือผักสดที่สูงขึ้น 8.25% สินค้ากลุ่มนี้คือค่าใช้จ่ายหลักของพี่น้องแรงงาน จะเห็นว่าสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มในระดับสูงมาก

 

 

 

ทั้งนี้ จุดมุ่งหมายของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ต้องไม่ใช่เพื่อให้แรงงาน 1 คนอยู่รอดได้เท่านั้น แต่ควรอยู่รอดได้อย่างมีศักดิ์ศรี มั่นคงเพียงพอทั้งต่อตัวแรงงานเองและครอบครัว นอกจากนี้ การสวนทางของค่าจ้างกับการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพหรือสินค้าจำเป็น คือสาเหตุสำคัญของหนี้นอกระบบ ที่สุดท้ายกระทบความมั่นคงของแรงงานในระยะยาว และรัฐต้องไปแก้ไขอยู่ดี และมิติที่สามการขึ้นค่าแรงที่น้อยในรอบนี้ ยิ่งทำให้ห่างจากเป้าหมายของรัฐหรือที่ท่านนายกรัฐมนตรีหาเสียงไว้ คือค่าแรงทั่วประเทศ 600 บาทในปี 2570 ในอนาคต หากนายกฯ ยังยืนยันนโยบายขึ้นค่าแรงตามที่หาเสียง ย่อมต้องขึ้นค่าแรงแบบกระชากมากขึ้นเพื่อไปสู่เป้าหมาย จะยิ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยสูงขึ้น

 

 

 

นายสิทธิพล กล่าวว่า ในกรณีนี้ตนมีข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี 3 ข้อ ได้แก่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี การส่งสัญญาณว่าไม่พอใจต่ออัตราค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นคงไม่เพียงพอ ท่านนายกฯ ควรเร่งรัด พูดคุยกับคณะกรรมการไตรภาคีอีกครั้ง เพื่อให้สามารถปรับค่าแรงได้จริง, ผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่อภาคธุรกิจ รัฐสามารถเตรียมนโยบายรองรับผลกระทบต่อ SMEs และภาคเอกชน เช่น การพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล การพิจารณาประเด็นสมทบค่าประกันสังคมให้กับผู้ประกอบการ และการเพิ่มผลิตภาพและทักษะให้แรงงาน

 

 

 

ในระยะยาวเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบของค่าแรงที่สูงขึ้น รัฐต้องมีนโยบายพัฒนาฝีมือให้แรงงานให้มากขึ้น พัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต นอกจากนี้ รัฐควรส่งเสริมการลงทุนในเครื่องจักรและดิจิทัลเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานไปพร้อมๆ กัน ผ่านมาตรการภาษีต่างๆ เช่น หักค่าใช้จ่ายได้ 1.5-2 เท่า ดังนั้นรัฐควรมีนโยบายพัฒนาทักษะแรงงานอย่างจริงจังและมุ่งเป้า ประกอบนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

 

 

 

ทั้งนี้พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรีเอาจริงเอาจัง และให้ความสำคัญกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อดูแลสวัสดิภาพของพี่น้องแรงงานไทย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube