“พิธา” ชี้ไทยได้รับผลกระทบหลายด้าน-สภาย่อมมีความชอบธรรมเป็นพื้นที่พูดคุยปัญหาเมียนมา ยกไทยเป็นพื้นที่กลางสำหรับทุกฝ่ายได้ ถึงเวลาจับมืออาเซียน-จีน-อินเดีย ร่วมกู้สถานการณ์เมียนมาสู่สันติ
การประชุมระดับนานาชาติและนิทรรศการ “3 ปีหลังรัฐประหาร : สู่ประชาธิปไตยในเมียนมา และผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนไทย” โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมวงพูดคุยในหัวข้อ “การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างประเทศ” ในกรณีบทบาทของประเทศไทยต่อการแก้ไขวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้ โดยมี สุทธิชัย หยุ่น เป็นพิธีกรถามคำถามในหลากหลายประเด็น
โดยนายพิธาเริ่มต้นจากคำถาม ที่เกี่ยวกับกรณีการออกจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา ประท้วงการจัดงานของรัฐสภาในครั้งนี้ ระบุว่า รัฐสภาเป็นสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายอยู่แล้ว ในฐานะตัวแทนประชาชนที่มีส่วนได้เสีย รวมทั้งการตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารของรัฐบาล ซึ่งย่อมต้องรวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศและด้านความมั่นคงด้วย
ในเมื่อผลกระทบจากสถานการณ์ในเมียนมา ล้วนแต่ส่งผลในทางตรงต่อคนไทยในหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่ต้องจ้างงานคนเมียนมา ปัญหาไฟป่าจากฝั่งเมียนมาที่กลายมาเป็น pm2.5 ในไทย ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีที่ตั้งอยู่ตามชายแดน ฯลฯ รัฐสภาไทยจึงย่อมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมา ตามหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่ต้องพูดคุยแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่ใช่การแทรกแซง แต่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้
นายพิธายังได้ตอบคำถามที่ยกขึ้นมาโดยสุทธิชัย ถึงกรณีที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมา ในการสร้าง “ระเบียงมนุษยธรรม” เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม ผ่านสภากาชาดของทั้งสองประเทศ โดยพิธาชี้ให้เห็นว่าแม้จะเป็นก้าวแรกที่ไปต่อได้ แต่ก็มีการวิจารณ์อยู่มากว่า การใช้สภากาชาดทั้งสองฝั่งอาจไม่ส่งผลดี เพราะสภากาชาดเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบรวมศูนย์ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและองค์กรอื่นๆ ซึ่งในกรณีของเมียนมา สภากาชาดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไม่สามารถเลือกฝั่งได้
ในช่วงหนึ่ง นายสุทธิชัยได้ถามนายพิธาต่อว่า หากเป็นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี สิ่งที่จะทำแตกต่างไปจากนี้คืออะไรบ้าง ซึ่งนายพิธาระบุว่า ต้องแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
โดยในส่วนของระยะสั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แน่ๆ คือ การทะลักเข้ามาของผู้หนีภัยความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการประกาศเกณฑ์ทหารแบบใหม่ ซึ่งประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือ ศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มีขึ้นแล้ว ต้องเปิดให้มีบทบาทมากกว่าของหน่วยงานรัฐ แต่ต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทั้งในทางสาธารณสุข การศึกษา และเศรษฐกิจด้วย
ระยะกลาง การมีบทบาทต่อสถานการณ์เมียนมา ต้องอาศัยมากกว่าบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงกลาโหม แต่ต้องมีการบูรณาการทุกส่วนของรัฐบาลเข้ามา หรือในอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย เพราะเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับปัญหาระดับชาติหลายกรณี
ทั้งนี้ บทบาทของประเทศไทยไม่อาจกระทำโดยลำพังได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้นำอาเซียน และประเทศที่มีพรมแดนร่วมกับเมียนมารวมถึงจีนและอินเดียด้วย ไทยไม่อาจขาดอาเซียนในการมีบทบาท และอาเซียนก็ไม่อาจขาดประเทศไทยในการเดินหน้าตามฉันทามติ 5 ข้อกรณีเมียนมาได้
ขณะในระยะยาว สิ่งที่ประเทศไทยสามารถมีบทบาทขึ้นมาได้ ก็คือการเป็นตัวกลางในการเจรจา เช่น อาจจะมี “เชียงใหม่ ไดอะล็อก” ขึ้นมา ที่จะเป็นพื้นที่ในการเชิญทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสถานการณ์เมียนมาเข้ามาร่วมพูดคุยกัน โดยประเทศไทยมีศักยภาพจะทำสิ่งนี้ได้ ทั้งด้วยความใกล้ชิด และความรับผิดชอบที่ประเทศไทยมีในฐานะเพื่อนบ้าน
จากนายกรัมนตรีไปจนถึงนายกท้องถิ่น หากมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ย่อมสามารถบรรลุสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เวลานี้เหมาะสมแล้ว ที่การพูดคุยจะต้องเกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจาเพื่อนำไปสู่การหยุดยิง และประเทศไทยสามารถเป็นได้มากกว่าผู้ยืนดูอยู่ห่างๆ แต่สามารถมีบทบาทในการเป็นผู้สร้างพื้นที่พูดคุยได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews