Home
|
ข่าว

BOIแจงนายกฯ เดินสายตปท.พบนักลงทุนหวังเม็ดเงิน 5.5 แสนล้าน

Featured Image
ชโยทิต-เลขาบีโอไอ แจงผลงานนายกฯ เดินสายต่างประเทศ พบนักลงทุนแล้วกว่า 60 บริษัท ใน 14 ประเทศ คาดมีเม็ดเงินลงทุนใน 4 อุตสาหกรรมหลักกว่า 558,000 ล้านบาท ชี้รัฐบาลนี้พูดแล้วทำ เห็นผลจริง

 

 

 

 

 

หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวถึง แถลงผลผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการลงทุนและความร่วมมือภาคเอกชนต่างชาติ ว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไป 14 ประเท?ศ หารือกับบริษัทชั้นนำกว่า 60 บริษัท และยืนยันมีบริษัทเข้ามาลงทุน อาทิ AWS ประกาศลงทุนในไทย 2 แสนล้านบาท มีอีก 2 บริษัทระดับโลกกำลังเจรจาอยู่ ซึ่งอยู่ในส่วนอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ผลิตไมโครชิฟ ทำให้ไทยก้าวสู่อุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคที่มีมูลค่าสูงขึ้น

 

 

ทั้งนี้ หม่อมหลวงชโยทิต ชี้ถึงปัจจัยความสำเร็จในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ จำเป็นต้องเตรียมความสามารถในการแข่งขันทุกมิติ ทั้งด้านพลังงานหมุนเวียน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แรงงานทักษะสูง และความเป็นกลางทางภูมิศาสตร์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ประเทศไทยมีการเตรียมการรองรับไว้แล้ว โดยในส่วนของพลังงานหมุนเวียน ไทยได้เปรียบเพราะเรามีแผนพลังงานสะอาด โดยเดินหน้าเข้าสู่โลคาร์บอน โซไซตี้ ซึ่งไทยผลิตไฟฟ้าโดยใช้แก๊ส 70 % มีแผนชัดเจนภายในปี 2040 ไม่มีการใช้พลังงานจากถ่านหินแล้ว ให้ฐานเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สะอาดที่สุดในภูมิภาคนี้

 

 

ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีการเตรียมพร้อมระบบราง ท่าเรือขนส่งสินค้า การปรับปรุงสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับแผนไทยเป็นฮับการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยว 60 ล้านคน เปรียบไทยเป็นศูนย์กลางของแหลมทอง หากมีการคมนาคมที่สมบูรณ์แบบ รับรองว่า จะมีคนมาใช้บริการ รวมถึงมีการเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ รองรับการคมนาคมขนส่งเดินเรือหลังช่องแคบมะละกา มีการจราจรที่หนาแน่น ดังนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต่างชาติให้ความสำคัญว่า ไทยไม่ได้ดีแต่พูดแต่ทำจริงๆ

 

 

 

ทั้งนี้ ในส่วนภูมิรัฐศาสตร์ ถือว่า เราทำตัวเป็นกลาง เราไม่มีพรมแดนติดกับมหาอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะมองว่า การที่มีพรมแดนติดกับมหาอำนาจจะมีความหนาวและร้อนในเวลาเดียวกัน ถือเป็นจุดแข็งที่เรามี ทำให้ไทยสามารถทำตัวเป็นกลางได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ หม่อมหลวงชโยทิต ระบุบริษัทที่เข้าหารือกับประเทศ แบ่งออกเป็นอุสาหกรรมที่ประเทศ กำลังผลักดัน ประกอบด้วย ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์
ดิจิทัล เกษตรกรรมและอาหาร การท่องเที่ยว การเงิน การลงทุน กและอื่นๆ เช่นโลจิสติกส์

 

 

 

ทั้งนี้ ด้านการท่องเที่ยว หลังจากฟรีวีซ่า คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาใช้เงิน 1 ล้านคน ใช้เดือนละ 1 แสนบาท หนึ่งปีใช้เงิน 1.2 ล้านบาทต่อหัว ซึ่งคำนวณแล้ว จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวสะพัดมากแค่ไหน หม่อมหลวงชโลทิศ ยืนยันว่า ทีมงานของไทยได้ทำงานอย่างขมักเขม้น เพื่อประกาศเกียติศักดิ์ของประเทศไทยว่า กลับมาแล้ว ประเทศไทยถูกกล่าวขานว่า เป็นสาวที่ค่อนข้างมีอายุแล้ว แล้วจะกลับมาเป็นสาวที่มีอายุแล้วทันสมัยอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ทีมงานต้องเตรียมการ เพื่อที่จะไปติดตามงานในต่างประเทศอย่างจริงจัง

 

 

ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า จากการดำเนินการดังกล่าว เป็นผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บีโอไอได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี เมื่อพิจารณาเฉพาะมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน และในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 มูลค่า FDI ขยายตัวกว่า 145% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในช่วงปีที่ผ่านมา

 

 

ซึ่งรัฐบาลและบีโอไอได้กำหนดยุทธศาสตร์เน้นหนักในการดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะใน 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ Data Center และ Cloud Service รวมถึงกิจการสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ

 

 

อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นอนาคตที่สำคัญของโลก รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงดำเนินมาตรการสนับสนุนหลากหลายรูปแบบ ทั้งดึงดูดผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่เข้ามาลงทุน และสนับสนุนผู้ผลิตรายเดิมให้สามารถปรับตัวได้ ซึ่งผลจากการดำเนินงาน ทำให้บริษัทผู้ผลิตจากจีนหลายรายในระดับท็อป 10 ของโลก เช่น BYD, Aion, Changan, GWM, MG เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก

 

และจากการเจรจาครั้งสำคัญเมื่อปีที่แล้วที่กรุงโตเกียว ทำให้ 4 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นชั้นนำ มีแผนการขยายการลงทุนรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาทภายใน 5 ปี สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และการรักษาธุรกิจ ICE ในปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากยุโรปและอเมริกาอย่างต่อเนื่อง

 

 

นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ชั้นนำของโลก คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อย่างน้อย 2 รายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านมา ไทยประสบความสำเร็จในการดึงการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำมาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าพัฒนาให้เกิดระบบนิเวศ

 

 

ด้วยการดึงดูดกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เช่น การผลิตชิปต้นน้ำ การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ การรับจ้างผลิตและทดสอบชิปขั้นสูง เข้ามายังประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้มีมูลค่าสูง สร้างงานทักษะสูงในประเทศ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจากับบริษัทระดับโลกหลายราย พร้อมพัฒนาบุคลากรไทยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้

 

 

ในด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะด้าน Data Center และ Cloud Services ซึ่งเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรม AI คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ให้บริการระดับ Hyperscale เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องหลายแสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคได้

 

 

 

ประเด็นสุดท้าย คือ การดึงดูดบริษัทชั้นนำให้ตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและศูนย์กลางการเงิน และโลจิสติกส์ของภูมิภาคนี้ โดยในปีที่ผ่านมา มีบริษัทต่างชาติรายใหญ่หลายรายเลือกไทยในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค ส่งผลให้มีแรงงานทักษะสูงระดับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย

 

 

 

นอกจากนั้น รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการจูงใจให้ภาคเอกขนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทผู้มีฐานการผลิตในไทยและอาเซียน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ เช่น ดิจิทัล การเงิน โลจิสติกส์ ไปจนถึงธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ซึ่งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทยในหลาย ๆ ด้าน โดยนอกเหนือจากปัจจัยด้านธุรกิจเช่น โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรที่มีคุณภาพ

 

 

ต้นทุนทางธุรกิจที่เหมาะสมแล้ว ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตสำหรับกลุ่มคนทำงานด้วย เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบรักษาพยาบาล โรงเรียน แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เป็นต้น โดยในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทใหญ่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 5 ราย

 

 

ทั้งนี้ การเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้ง ต้องมีการทำงานเพื่อเตรียมการก่อนไป ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมข้อมูลเชิงลึก แพ็คเกจการลงทุนที่จูงใจและตอบโจทย์ต่อความต้องการของนักลงทุน รวมถึงการทำงานเพื่อติดตามผลการประชุมอย่างเข้มข้นอย่างต่อเนื่องโดยทีมงานของนายกรัฐมนตรีร่วมกับทีมบีโอไอ เพื่อช่วยแก้อุปสรรคปัญหา รวมไปถึงกฎระเบียบต่าง ๆ

 

 

เพื่อทำให้ประเทศไทยเอื้อต่อการลงทุน ซึ่งในส่วนนี้ นายกฯ เศรษฐา และทีมรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยบีโอไอได้ประเมินเม็ดเงินลงทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกิจกรรม Roadshow และมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล จาก 4 อุตสาหกรรมหลักที่ได้กล่าวมา รวมแล้วประมาณ 558,000 ล้านบาท

 

 

นอกจากการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนต่างชาติ เรายังเห็นความคืบหน้าการดำเนินงานในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง ฟรีวีซ่า ซึ่งได้มีการเจรจาและเกิดขึ้นแล้วกับจีน คาซัคสถาน และอินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังดำเนินการ ความร่วมมือในการพัฒนาบุคคลากร การเปิดช่องทางการค้าใหม่ ๆ เพิ่มความสัมพันธ์ในการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี FTA และการผลักดันด้านความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน

 

 

โดยประชาชนไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากการสร้างความร่วมมือกับรัฐบาล องค์กร และบริษัทชั้นนำของโลก ผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาทักษะและศักยภาพของแรงงานให้สูงขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในเวทีโลก ในแง่ของการเป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชีย

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube