“พิชิต” ท้าดวล 40 สว.ตัวต่อตัว ลั่นนายกฯไม่เกี่ยว รับขมขื่นหลังถูกตราหน้าทนายหิ้วถุงเงิน ยันมีคุณสมบัติครบ มองถูกวงจรอุบาทว์เล่นงานหวังล้มรัฐบาล พร้อมลาออกถ้ายุติปัญหาได้ ประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ
นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ 40 สว.ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องในวันพฤหัสบดี ที่ 23 พฤษภาคมนี้ ว่า การชี้แจงวันนี้เป็น ตนพูดในฐานะที่เป็นตัวของตัวเอง
จากกรณีที่ 40 สว.ไปยื่นร้องผ่านประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี สว.หลายฝ่ายออกมาท้วงติงถึงประเด็นความชอบธรรมและอำนาจตามกฎหมาย แต่สิ่งที่ตนจะชี้แจงในวันนี้ในฐานะที่ตนทำงานแบบมืออาชีพจะขอพูดถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่จะตั้งคณะรัฐมนตรี หรือปรับคณะรัฐมนตรี ตนมองว่าท่านไม่ได้มีความผิดอะไร มาเอาเรื่องท่านทำไม ซึ่งนายเศรษฐาไม่ได้ทำอะไรผิดแผกแตกต่าง จากนายกฯคนอื่นในอดีต
ซึ่งการจะตั้งคณะรัฐมนตรี บุคคลที่มีชื่อเป็นรัฐมนตรีเช่นตนจะต้องไปกรอกเอกสารเพื่อ รับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม? ซึ่งทุกอย่างมีกระบวนการ ซึ่งตนก็ต้อง ไปกรอกข้อมูลว่ามีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ซึ่งเมื่อกรอกเสร็จ ถามว่านายกฯจะเชื่อหรือไม่ ท่านก็ไม่เชื่อ แต่จะมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน โดยจะมีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานมืออาชีพ ช่วยใครไม่ได้ และไม่มีทางช่วยตน เมื่อรับเอกสารบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีก็จะไปตรวจสอบ ส่งเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ป.ป.ช. กรมบังคับคดี มีวิธีการตรวจว่าผู้ใดทำผิดประมวลกฎหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่
และจะขึ้นอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร เวลาที่เขาประมวลว่าใครซื่อสัตย์ มีจริยธรรมหรือไม่ ไม่ได้ดูเพียงสำนักงานกฤษฎีกาเพียงอย่างเดียว ในฐานะที่ตนกำกับก็ต้องออกมาให้ความเป็นธรรมกับเขา ว่าต้องดูทุกเรื่อง อะไรที่ถือเป็นข้อสงสัยก็จะถามไปยังกฤษฎีกา
นายพิชิต ระบุว่า นายเศรษฐาตั้งใจทำงาน พูดจากใจอยู่ตรงจุดนี้พูดไม่อายว่า ตนเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ และเคยเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯมาแล้ว จึงอยากให้เอาความจริงมาพูดกัน ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง
นายพิชิต ยังระบุอีกว่า นายกฯ ทำตามกระบวนการทางกฎหมายและสุดท้ายก็จะมาสรุปว่าตกลงตั้งใครได้หรือไม่ได้ หากตั้งไม่ได้ก็ไม่ฝืนตั้ง ก็ต้องทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล ถามว่าตนไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ มาพร้อมสติปัญญามีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิดทำชั่ว คงไม่มายืนตรงจุดนี้ พร้อมขอให้นายเศรษฐาได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ที่ท่านแถลงไว้ตอนรัฐสภา
ขณะเดียวกันนายพิชิต ยังระบุอีกว่า โดยกระบวน ท่านไม่มีสิทธิ์ใช้ดุลยพินิจคิดเองทำเอง ตนทำงานกับนายกรัฐมนตรีมา 6-7 เดือนไม่เคยประจบสอพลอ ตนอยู่เนื้องาน และท่านก็ดูผม ก็พอรู้นิสัยใจคอของนายเศรษฐาว่าเป็นคนตรงไปตรงมา
แม้ท่านอยากจะตั้งตนแทบตาย แต่หากมีปัญหาก็ต้องไม่ได้ ต้องเอาหัวใจมาพูดกัน พร้อมกับระบุว่า การตั้งคณะรัฐมนตรีในครั้งแรก คนเคยถอนตัวไม่รับตำแหน่งอยากให้บ้านเมืองเดินหน้า เมื่อฟอร์มรัฐบาลเรียบร้อยแล้วอยากใช้ตนทำงาน ก็ตั้งให้ตนเป็นรัฐมนตรี
ส่วนประเด็นจริยธรรม นายพิชิต ขอให้ไปดูช่องทางทางกฎหมาย มีคำพิพากษา ศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานแล้ว หากกฎหมายเป็นกฎหมายบ้านเมือง มีหลักนิติธรรม ขอให้ไปดูว่าอยู่ช่องไหน ซึ่งตนต้องขอขอบคุณ 40 สว.และขออโหสิกรรม ตนชอบใจมากเพราะสิ่งที่ตนถูกกระทำ ตั้งแต่ปี 2551 ตนโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต ก่อนตัดสินใจเป็นรัฐมนตรี ตนคิดแม้กระทั่งว่าหากไปอยู่ในสภาถูกตั้งกระทู้ธรรมถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจตนจะสามารถตอบคำถามได้ทุกคำถาม
ตอบข้อสงสัยต่างๆ เพราะฉะนั้นการที่ตนได้มีโอกาส หลังถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ควรเป็นกรณีศึกษา แต่ถูกศาลเดียตัดสินแล้วจบเลย ทั้งที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรมบัญญัติไว้ว่าศาลมี 3 ชั้น 3 เวลานักการเมืองมีปัญหาถูกพิจารณาคดี ต่อสู้คดีได้ 2 ชั้นศาล ตนเป็นทนายความ ไปขึ้นว่าความศาลเดียวจบนี่คือความขมขื่นในใจ
ซึ่งตนไม่ได้โกรธอะไร 40 สว. ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ให้โอกาส และมั่นใจว่าหลักนิติธรรมและความเป็นธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญมีตนไม่หวั่นไหว เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่คำวินิจฉัย?ของศาลฎีกาไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ตนรอจังหวะยิงลูกนี้มานานแล้ว ถ้าศาลรัฐธรรมนูญได้ยึดหลักนิติธรรมพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีใหม่
แต่เป็นโอกาสในชีวิตของตนที่จะได้เริ่มต้นใหม่ ตอนนี้ไม่หวั่นไหวอะไร เพราะฉะนั้นประเด็นตามคำสั่งศาลฎีกา หากมีตรงไหนที่เขียนว่าตนเป็นคนที่หิ้วถุงเงิน 2 ล้านคนพร้อมลาออกวันนี้เลย ไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หลายคนว่ากล่าวติติงเป็นไอ้ทนายถุงเงิน 2 ล้าน พูดเหมือนคนไร้สติ ไม่มีเหตุไม่มีผล ประเทศเป็นระบบประมวลกฎหมายหากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ ย่อมไม่มีอำนาจ การไต่สวนวิธีพิจารณา เรื่องละเมิด อำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
ในคดีอาญาก็ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก อะไรที่กฎหมายพิจารณาความอาญา ไม่บัญญัติไว้ ก็จะบอกให้เอาวิธีพิจารณาความแพ่ง ใช้บังคับโดยอนุโลม เช่นเดียวกัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และอาญาไม่เคยบัญญัติ ว่า ให้เอาประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายสาระบัญญัติ มาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี ถ้าหาแล้วมี ว่าให้เอามาตรา 83 มาใช้ ตนจะลาออกวันนี้เช่นกัน นี่คือความเก็บกด ที่ตนโหยหาความยุติธรรม
นายพิชิต ยังระบุอีกว่า ในวันที่ตนเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง เคยบอกกับสื่อมวลชนว่าตัวเบาหวิว หมายถึงใจมันว่าง เพราะนามสกุลชื่นบาน ตนก็ทำงาน พร้อมขอให้ไปดูคำสั่งของศาลฎีกา ตนติดใจ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาทั้งชีวิต ตั้งแต่ปี 2551 เอามาเขียนใส่ได้อย่างไร เพราะตนไม่ได้มีการกระทำอะไรเลยในการถือเงิน และในคำสั่งศาลฎีกามีอยู่คำหนึ่ง ระบุว่าผมน่าจะรู้ ซึ่งถือเป็นข้อสงสัย เหตุใดจึงไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย แค่น่าจะก็ขังตนแล้วจึงคาใจคดีอาญา
และขังเต็มพิกัด 6 เดือน ซึ่งมองว่สเป็นเพียงสมมติฐาน คิดเอาเองไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน ว่าพิชิตถือถุงเงิน ก็ไปตั้งข้อสันนิษฐานกัน วันนี้จะอยู่หรือจะไปไม่ได้ยึดติดอะไร ตนต่อสู้กระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต
ขณะเดียวกัน นายพิชิต ยังมองว่า ตอนตนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ปี 6 เดือน รัฐธรรมนูญปี 2550 มีบทบัญญัติการถอดถอนเรื่องจริยธรรม แต่กลับไม่ถูกตรวจสอบขณะนั้น แต่กลับมาตรวจสอบตอนนี้
ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต อยากถามว่าวัดกันตรงไหนถามกฤษฎีกาก็ตอบไม่ได้ แต่เคยมี ข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่ในปัจจุบันพูดถึงเรื่องนี้ การเขียนคำว่าซื่อสัตย์สุจริตเป็นประจักษ์ เป็นการกลั่นแกล้ง กล่าวหาทางการเมือง ขอให้ไปดูว่าใครพูดไว้ในที่ประชุมกรรมมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ วัดไม่ได้เป็นนามธรรม พิสูจน์กันอย่างไรว่าใครซื่อสัตย์
ขณะเดียวกัน นายพิชิตยังมองว่า เป็นวาระวงจรอุบาทว์ ท่านบริหารประเทศอยู่ดีๆ แล้วทำให้เกิดการกระทำอย่างนี้ ให้ผู้นำประเทศต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ด้วยวิธีการเช่นนี้ ตอนนี้เพื่อนอยู่ในสว.ตนรู้รายละเอียดการกระทำจึงขอความเป็นธรรม พูดกันดีๆก่อนยื่น พฤติกรรมอย่างไรคนของใครทำอะไรตนไม่ขอพูด พร้อมขอบคุณนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ที่ออกมาพูดเรื่องจริง และการมาเปิดใจในวันนี้ไม่กังวลอะไรสบายๆทีแต่ไม่ได้ประเด็น
ส่วนข่าวลือเมื่อวานนี้เรื่องลาออกจากตำแหน่ง นายพิชิตกล่าวยืนยันว่า ไม่ยึดติดผลประโยชน์ของตน ยึดมั่นของรัฐธรรมนูญมาตรา 164 ว่า ตนเป็นรัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์สุจริต คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ ตนมาทำงานไม่ได้มาโกง
เพราะฉะนั้นคำตอบแก้วงจรอุบาทว์ ถ้ามองว่าพิชิตลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนก็จะทำให้ ขอพูดต่อหน้าพระสยามเทวาธิราช ในองคาพยพกระบวนการยุติธรรม ให้ไปคิดมา โจทย์ที่เกิดวงจรอุบาทว์ นี่เป็นเกมการเมืองที่พยายามล้มนายเศรษฐา
เมื่อถามตอบว่าหากลาออกแล้วจะทำให้นายเศรษฐาสามารถอยู่ต่อได้จะทำหรือไม่ นายพิชิต ระบุว่า อันนี้ตนถึงบอกว่ามีเงื่อนไข เพราะวงจรอุบาทว์เล่นแบบนี้ วันนี้บ้านเมืองปกติ มีนายกฯแล้วทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง ไม่มีนายกฯ พร้อมกับยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เราไม่อยากทำให้นายกรัฐมนตรีหนักใจ
เมื่อถามว่าจะไม่ลาออกก่อนถึงวันที่ 23 ใช่หรือไม่ นายพิชิตไม่ตอบคำถามนี้แต่ระบุว่า บางคนก็อยากให้ผมอยู่บางคนก็อยากให้ผมออก แต่ตนอยากจะขอโยนโจทย์ไปว่า บ้านเมืองตนไม่ได้ดูแลคนเดียว ตนจึงใช้คำว่าวงจรอุบาทว์
พร้อมขอให้มาดวลกับพิชิตคนเดียว เอานักกฎหมายมา 3 คน และ 40 สว. แบบตัวต่อตัว ที่ลงชื่อไปอ่านคำสั่งศาลฎีกาแล้วหรือไม่ และไม่ขอ ก้าวล่วงไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของ 40 สว แต่มีกระบวนการ เมื่อถามว่าเป็นกระบวนการ ต้องการล้มนายกใช่หรือไม่ตนไม่ขอกล่าวหาแต่ข้อมูลเป็นเช่นนั้น
เมื่อถามอีกว่าวงจรอุบาทว์ หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าใช่หรือไม่ นายพิชิตระบุว่าไม่ขอตอบคำถามนี้ ให้พิจารณากันเอาเอง ส่วนการปล่อยข่าวว่านายพิชิต ลาออกจากตำแหน่งจะเป็นการเจาะยางรัฐบาลหรือไม่ก็ขอให้ไปคิดกันเอาเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews