ไทยสร้างไทย จี้ นำรายงานนิรโทษฯชุดเก่ามาปรับใช้ ให้เหมาะสมกับบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป แนะสร้างกติกา บังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ฯ ที่ผ่านมา โดยมี ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เป็นประธานที่ประชุมซึ่งตนได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า เมื่อครั้งทำหน้าที่รักษาการประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ทำรายงานการศึกษา เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ ผลของการศึกษามีสาระโดยสรุปว่า
“ให้มีการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิด หรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีการเมือง หรือคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ยกเว้นคดีทุจริต เว้นแต่กระบวนการพิจารณาคดีทุจริตนั้นไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและไม่นิรโทษกรรมคดีความผิดตามมาตรา 112” โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานการศึกษาดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์ และทุกพรรคการเมืองที่ให้ความเห็นชอบกับรายงานการศึกษาดังกล่าวก็ยังอยู่ในสภาชุดปัจจุบันครบถ้วน
ดังนั้นจึงควรนำรายงานการศึกษาดังกล่าว มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะคดีความผิดตามมาตรา 112 ที่เป็นประเด็นความขัดแย้งอยู่ในปัจจุบัน ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้วมีความเห็นสรุปว่า ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่ซับซ้อน และแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ
ดังนั้น การสร้างกติกาและการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี และความปรองดอง สมานฉันท์ของประชาชนในชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด โดยเห็นว่าถึงเวลาที่ควรนำคุณธรรม “อภัย”มาใช้ในการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการมีการนิรโทษกรรมคดีการเมือง และคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ยกเว้นคดีทุจริต เว้นแต่กระบวนการพิจารณาคดีทุจริตนั้นไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมส่วนคดีความผิดตามมาตรา 112ที่ประชุมเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงเสนอความเห็นโดยยึด “รัฐธรรมนูญ” เป็นหลัก ทั้งนี้ ควรดำเนินการแก้ปัญหาใน 2 แนวทางไปพร้อมๆกันคือ
1. คดีความผิดตามมาตรา 112 และมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้องในหมวดพระมหากษัตริย์บัญญัติขึ้นเพื่อให้สอดรับกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญซึ่งถือว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ เฉกเช่นเดียวกับประมุขต่างประเทศก็ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน และโดยข้อเท็จจริงแล้วเมื่อมีการล่วงละเมิดด้วยการดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทฯลฯ ต่อองค์พระประมุขของชาติ พระองค์ก็มิอาจจะโต้ตอบ หรือชี้แจง หรือดำเนินการใดๆได้
ดังนั้น ควรแก้ไขกฎหมายให้องค์พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะ “พระราชทานอภัย” สำหรับกรณีความผิดตามมาตรา 112 ได้ โดยให้เป็นการระงับการดำเนินคดีและให้ถือว่าคดีเป็นอันสิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 112 สามารถทำหนังสือ “ขอพระราชทานอภัย” ต่อองค์พระมหากษัตริย์โดยให้คำมั่นว่าจะ”ไม่กระทำซ้ำ” อีกในระหว่างการดำเนินคดีก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด กรณีนี้เรียกว่า “การขอพระราชทานอภัย” ซึ่งต่างจากการ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” ที่คดีถึงที่สุดแล้ว
2.การแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการร้องทุกข์ กล่าวโทษความผิดตามมาตรา 112 โดยให้มีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองในการดำเนินคดีประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลายสาขาเพื่อเป็นหลักประกันป้องกันการกลั่นแกล้งในการดำเนินคดี
นอกจากนี้ ดร.โภคิน เห็นว่า ทั้ง 2 แนวทางดังกล่าวเป็น “หลักการใหม่” ในการแก้ไขปัญหาการจัดทำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการพิจารณาคดีความผิดตามมาตรา 112 จึงได้เสนอให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรค และ ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อออกแถลงการณ์ในนามพรรคไทยสร้างไทย และร่วมกันแถลงข่าวการเสนอทางออกของปัญหา พ.ร.บ. นิรโทษกรรม และคดีความผิดตามมาตรา 112 ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม พิจารณานำไปปรับใช้ตามที่เห็นสมควร
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews