“พิชัย”เผย ครม.เศรษฐกิจ ตั้งเป้าGDPโต 3% ภายในสิ้นปีนี้ ผ่าน 3 มาตรการ”ท่องเที่ยว-เร่งเบิกงบเพิ่ม70%-ลงทุเอกชน”
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ ว่า ปี 2567 ตั้งเป้า GDP เติบโตอยู่ที่ 2.5% ซึ่งทางที่จะรอด GDP จะต้องถึง 5% จากปีนี้ตั้งมาตรการเบื้องต้นไว้ในช่วงปลายปีอยู่ที่ 3% ผ่าน 3 มาตรการ ได้แก่
1.มาตรการท่องเที่ยว โดยมีการตั้งเป้าจะต้องมีนักท่องเที่ยว 35.7 ล้านคน แต่ถ้าหากทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มมาได้อีก 1 ล้านคน และให้นักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อให้เกิดการจับจ่าย
2.มาตรการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ในงบลงทุน โดยงบ 2567 มีประมาณ 850,000ล้านบาท ซึ่งสิ้นปีงบประมาณจะเบิกจ่ายได้เพียง 60% โดยเป้าหมายต้องการเบิกจ่ายให้ได้ 70% แต่ส่วนตัวอยากให้ถึง 75% ซึ่งล่าสุด งบประมาณปี 2567 ได้เบิกจ่ายไปแล้ว รวมถึงเพื่อรอเซ็นสัญญาเพื่อดำเนินโครงการ ประมาณ 51% โดยวันที่ 12 มิ.ย.นี้จะมีการหารือกับหน่วยงานที่เบิกงบต่ำกว่าเป้า ว่า ปัญหาคืออะไรเพื่อที่จะได้เร่งเบิกจ่ายให้ได้ GDP ตามเป้า
3.มาตรการการลงทุนภาคเอกชน กว่า 8 แสนล้านบาท ในเวลา 3 ปี ถ้าในปีนี้เร่งรัดโครงการให้ได้ 3-4 หมื่นล้านบาท ก็จะเพิ่ม GDP ได้ตามเป้า
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ยังได้มีการหารือเรื่องปาล์มราคาตกต่ำ ขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 3 บาท เพราะเป็นช่วงฤดูฝนผลผลิตออกเยอะ ซึ่งวงจรตลาดปาล์มจะสิ้นสุดที่โรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซล มีกำลังผลิตอยู่มี่ 7 ล้านลิตร แต่ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4 ล้านลิตร ทำให้เหลือ ซึ่งมีแก้ปัญหาการส่งออกบ้าง แต่มีช่วงเหลื่อม
โดยวิธีแก้ปัญหาต้องมีการพูดคุยว่าใครจะเป็นเจ้าภาพในการรับซื้อไบโอดีเซล เพราะผลผลิตมากกว่าความต้องการ ทำให้ผู้ซื้อต่อรองราคา ดังนั้น ควรให้ผู้ประกอบการช่วยเกษตรกรเพราะปาล์มถือเป็นพืชพลังงาน โดยในการแก้ ปัญหาระยะสั้น ตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.การค้าน้ำมันน้ำมันเชื้อเพลิง 2543 ก็จะทำให้ราคาปาล์มอยู่ในราคา กิโลกรัมละ 5 บาท ได้ รวมถึงต้องพูดคุยกับทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ในที่ประชุมยังได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของปัญหาปิดโรงงาน ที่ทำให้มีผู้ตกงานกว่า 300,000 คน แต่สามารถกลับเข้าสู่ระบบแรงงานได้กว่าครึ่ง เมื่อรวมกับเด็กจบใหม่อีก 500,000 คน จะมีแรงงาน 600,000 คน แต่เมื่อดูตำแหน่งงานในตลาดแรงงานแล้ว มีว่างอยู่ประมาณ 500,000 ตำแหน่ง จึงทำให้เหลือคนว่างงานอยู่อีก 100,000 คน
โดยกระทรวงแรงงาน รับปากจะไปดูแล และนอกจากนี้ ไทยจะเพิ่มแรงงานที่มีทักษะด้านอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า เพราะผู้ประกอบการรถพลังงานไฟฟ้า (EV) และพลังงานสีเขียวมีความต้องการแรงงานเหล่านี้ ดังนั้น จึงจะมีการเพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอน และส่งไปฝึกงานที่โรงงานในไต้หวัน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews