“ศิริกัญญา” ฟาดรัฐบาล เสนอร่างพ.ร.บ.งบฯเพิ่ม สุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ฉะ งบกลางเงินสำรองไม่พอจ่าย ไม่ใช่จำเป็นเร่งด่วนแค่รักษาหน้ารัฐบาล
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ…. วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท
ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอเพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตว่า เป็นการเสนอร่างพ.ร.บ.ที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ หลายมาตรา อาทิ มาตรา 21 ซึ่งกำหนดว่าการจัดทำงบรายจ่ายเพิ่มเติม เพื่อใช้ในระหว่างปีงบประมาณ ไม่ใช่ใช้ข้ามปีและไม่สามารถรอใช้ในปีต่อไปได้
แต่การเสนอของบเพิ่มเติม จะทำให้มีเงินออกไปใช้หลังจากที่ พ.ร.บ.งบฯ 67 สิ้นสุดลง ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ มาตรา 43 ว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันที่กำหนดให้ทำไว้ก่อนสิ้นปี หากรัฐบาลจะชี้แจงว่า การลงทะเบียนคือการก่อหนี้ผูกพัน ตนมองว่า “ไม่ใช่” เพราะการก่อหนี้ผูกพันต้องมีสัญญา 2 ฝ่าย แต่การลงทะเบียยน คือ การทำสัญญาฝ่ายเดียวหากรัฐบาลคิดว่าเป็นการก่อหนี้ จะทำให้เกิดบรรทัดฐานที่ผิด และมีหน่วยงานรัฐเอาอย่าง เมื่อใช้งบไม่ทัน จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน
ทั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น ทำไมรัฐบาลไม่แก้ไขกฎหมายวินัยการเงินการคลังให้เรียบร้อย เพราะฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภา ที่สามารถขอ แก้ไขมาตรา 21 เพิ่มวรรคท้าย คือ เว้นมีเหตุให้เป็นอย่างอื่น โดยได้รับความเห็นชอบจาก ครม. เพื่อให้เป็นความรับผิชอบของฝ่ายการเมืองหรือกำหนดว่า ได้รับความเห็นชอบของนายกฯ
แต่ตอนนี้พบว่าเป็นการเดินหน้าลุยไฟทำผิดกฎหาย คนที่เดือดร้อน คือ ข้าราชการประจำที่ลงนามเรื่องต่างๆ โดยฝ่ายการเมือง ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ในการตัดสินใจที่เสี่ยงผิดกฎหมาย
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า งบกลาง เงินสำรองจ่ายไม่พอ สามารถเบิกจ่ายทุนสำรองจ่ายได้ ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 45 ใช้ได้เมื่องงบกลางสำรองจ่ายไม่เพียงพอ จึงกล้าลดวงเงิน 4.5 แสนล้านบาท เพราะวงเงินทุนสำรองจ่าย 5 หมื่นล้านบาท ใช้ได้เมื่อจำเป็นเร่งด่วน เพื่อประโยชน์ราชการแผ่นดิน จะเร่งด่วนจริงหรือไม่ เพระต้องใช้ในไตรมาสสี่ แต่มีคำถาม คือ จะมีความจำเป็นเร่งด่วนจริงหรือไม่
ซึ่งมองว่า มีเพียงอย่างเดียวคือ รักษาหน้าของรัฐบาล ทั้งนี้ งบส่วนดังกล่าว หากเบิกจ่ายจริง ต้องใช้คืน ในปี 2569 ถือว่าเป็นการยืมเงินข้ามปี
น.ส.ศิริกัญญา อภิปรายด้วยว่าในประเด็นที่เสี่ยงผิดกฎหมาย ยังมี คือ การตีความว่าโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเป็นงบรายจ่ายลงทุนหรือไม่ โดยนิยาม คือ ซื้อสิ่งของ สร้างสิ่งปลูกสร้าง อายุเกิน 1 ปี หรือค่าจ่ายสิ่งปลูกสร้าง แต่ของดิจิทัลวอลเล็ต ใช้เพื่ออุปโภคบริโภค แต่กลับตีความว่าเป็นรายจ่ายลงทุนสูง 80% แต่หากไม่นับเป็นรายจ่ายลงทุน จะผิดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 20 คือ รายจ่ายลงทุนจะมีไม่ถึง 20% และเป็นตัวเลขที่มากกว่าการขาดดุลงบประมาณ
หากบอกว่างบเพิ่มเติมไม่ใช้เกณฑ์เดียวกันกับงบประจำปี ถือว่าฟังไม่ขึ้น และรัฐบาลจ้องแก้ไขทำให้ถูกต้อง และทำไมรัฐบาลไม่เลือกแก้กฎหมาย เพราะอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่เลือกทางเสี่ยง ทางลุยไฟ ตนมองว่า เพราะรัฐบาลไม่พรร้อม เนื่องจากอีก 15 วัน จะเปิดให้ลงทะเบียน ขณะที่ตอนนี้ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ เพราะในเอกสารที่เสนอของบเพิ่มยังระบุเป็นภาพรวม
ขณะเดียวกัน โครงการนี้บอกได้คำเดียวว่า การลงทุนไม่รู้เท่าไร ตีไว้ 5 แสนล้านบาท ที่ลงทุนไป ได้รักษาหน้า ว่า ได้ทำตามที่หาเสียง แม้หน้าตานโยบายไม่เหมือนที่หาเสียงตั้งแต่ต้น เพิ่มจีดีพี เต็มที่ 1.8% หรือได้คืน 3.5 แสนล้านบาท การได้คืนเท่านี้ เรียกว่าคุ้มหรือไม่ แต่สิ่งที่ได้คือเพิ่มความเสี่ยงของประเทศไม่มีปัญญารับมือปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต และต้องทำผิดกฎหมายหลายข้อ
หากทำต่อไปจะสร้างบรรทัดฐานที่ผิดต่องบประมาณ นอกจากนั้นยังเอื้อค้าปลีกรายใหญ่ กีดกันรายย่อยไม่รู้ตัว รวมถึงเสียโอกาสการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ประชาชน เพราะต้องใช้เงินปลายปี อีกทั้งยังเสียอีกหลายโอกาส ที่จะเกิดในงบประมาณปี 69 และ 70 ทำให้งบที่ใช้พัฒนาประเทศที่จะมีศักยภาพลดลง
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นกระสุนนัดใหญ่ นัดสุดท้ายของรัฐบาลนัดเดียวที่จะเป็นปัญหา จึงขอส่งสัญญาณไปยังพรรคร่วมรัฐบาลจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่สุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมาย และทำให้เกิดปัญหาในอนาคต ขอให้ สส.รัฐบาลคว่ำร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews