“ยุทธพงศ์” จับตาท่าที “สุรชัย” เหมือนไม่อยากให้ร่างกฎหมายประชามติแล้วเสร็จ แสดงความยินดีอดีตนายกฯ ชนะคดีในศาลปกครองไม่ต้องชดใช้ 3.5หมื่นล้านจำนำข้าว
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย แถลงถึงคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ ที่นำร่างกลับไปปรับแก้กับคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรรมมาธิการโดยจะเข้าสู่การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 7-8 เมษายนนี้ โดยเฉพาะใน มาตรา 9 ที่ก่อนหน้านี้ให้รัฐบาล ครม. เสนอจัดทำประชาติ จากนั้นแก้ให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอได้ แต่ไม่ระบุจำนวนประชาชนว่าต้องใช้ 50,000 หรือ 10,000 รายชื่อ ถึงแม้กรรมาธิการฯ ล่าสุด เคาะที่ 50,000
รายชื่อ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะจบที่จำนวนเท่าไหร่
ทั้งนี้ ดูจากท่าทีของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานกรรมาธิการฯ เหมือนไม่อยากให้ร่างกฎหมายประชามติแล้วเสร็จ ต้องการซื้อเวลาหรือไม่เพราะกฎหมายประชามติมีความสำคัญ เนื่องจากผูกโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่ขณะนี้สามารถแก้ไขเป็นรายมาตรา ที่ไม่ต้องทำประชามติก่อนตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นทางออก เรื่องจำนวนการเข้าชื่อของประชาชนให้เขียนเป็นข้อสังเกตว่า จะใช้จำนวน 10,000 หรือ 50,000 คน เพราะถ้าหากยื้อเวลาแบบนี้ จะกระทบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต
ทั้งนี้ นายยุทธพงศ์ ขอแสดงความยินดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้าน จากกรณีการทุจริตโครงการระบายข้าวและจำนำข้าว โดยชี้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา และความเสียหายเกิดขึ้นในระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ไม่ได้สอบสวน เพื่อชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบ ดังนั้น อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ซึ่งทางกระทรวงการคลัง จะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อไป ถือว่ายื่นได้ตามสิทธิ์ และเชื่อว่านางสาวยิ่งลักษณ์ จะสามารถต่อสู้คดีได้จนถึงที่สุด จึงขอเป็นกำลังใจให้ผ่านไปได้ด้วยดี
“ยุทธพงศ์” จับพิรุธบีทีเอส-กทม. เล่นละครทวงหนี้ 3 หมื่นล้าน แลกสัมปทาน 40ปี ขณะจ่อบุก ทบ. จี้จัดการทหารป่วนเลือกตั้งเทศบาล
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีบีทีเอส ทวงเงินจาก กทม. 30,370 ล้านบาท ที่รวมค่าติดตั้งระบบและเดินรถส่วนต่อขยาย หาก กทม. ไม่จ่าย บีทีเอสจะยื่นฟ้องไปเรื่อยๆ และถ้า กทม.และกรุงเทพธนาคม ยอมจ่ายเงินก็เท่ากับว่าเป็นการสมคบคิดทุจริตหรือไม่ จึงตั้งข้อสังเกตว่าที่ กทม. ไปสร้างหนี้กว่า 3 หมื่นล้านบาท สุดท้ายเงินที่จ่ายก็เป็นภาษีของประชาชนอยู่ดี อีกทั้งยังไม่ปฏิบัติตาม พรบ.ร่วมทุน ดังนั้น หาก กทม. ไม่จ่ายเงิน จะนำไปสู่การยกสัมปทาน 40 ปีไปให้บีทีเอสหรือไม่ และทั้งหมดเป็นการเล่นละครทวงหนี้หรือไม่
นอกจากนี้ นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ย้ำถึงความคิดในการปฏิวัติติดลบทหารไม่ยุ่งการเมือง เป็นทหารอาชีพ โดยอ้างว่าแต่เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่มีการเลือกตั้งนายกเทศบาล มีทหาร 2 คน ยศสิบตรี กับพลทหารอาสา ค่ายทหาร จ.ร้อยเอ็ด เข้ามาในพื้นที่ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมีการพกอาวุธปืนและใช้รถทะเบียนปลอม ซึ่งนายอำเภอ ตำรวจ และชาวบ้านช่วยกันจับตัวไว้ได้ โดยเห็นได้ชัดว่า รถที่ถูกตรวจค้นเป็นรถจากค่ายทหาร เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี
จากการสอบสวนทหารรายดังกล่าว ไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของปืน เมื่อตำรวจสอบไม่ทันไร นายทหารพระธรรมนูญก็มารับตัวไปดำเนินคดีทันที และเรื่องก็เงียบหายไป ซึ่งค่ายนี้ เมื่อเดือน พ.ย. 2563 เคยมีพลทหารผูกคอตาย ส่วนครั้งนี้ก็มีการนำทหารมาลงพื้นที่เลือกตั้ง จึงขอถามว่าทหารเป็นทหารอาชีพหรือทหารพาณิชย์ ถ้าทหารอาชีพต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองเหมือนที่ ผบ.ทบ. เคยบอกไว้ แต่กรณีนี้จะเป็นการมารับจ้างทางการเมืองข่มขู่หัวคะแนนต่างๆ หรือไม่ต้องสอบสวนให้ได้ความชัดเจน จึงถือว่าเป็นการท้าทาย ผบ.ทบ.
ดังนั้น ในสัปดาห์หน้าตนจะไปพบ ผบ.ทบ.เพื่อยื่นหนังสือและหลักฐานกรณีนี้ว่า จะทำอย่างไรกับทหารนอกแถวเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาทราบว่ามีการส่งทหารลงพื้นที่ภาคอีสานตลอดเวลาที่มีการเลือกตั้ง มีการข่มขู่หมู่บ้านไหนคะแนนไม่ออกตามเป้า จะมีเรื่อง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news