กรมชลประทาน คงอัตราระบายน้ำ เขื่อนเจ้าพระยา ระดับเดิม 1,449 ลบ.ม./วินาที ขอเกษตรกรลุ่มเจ้าพระยา งดปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ลดเสี่ยงผลผลิตเสียหาย แจ้งพื้นที่ลุ่มต่ำผักไห่ เตรียมรับมือสถานการณ์น้ำ
กรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากการติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม ประเทศไทยจะมีฝนตกชุกหนาแน่นและพื้นที่ส่วนใหญ่มีฝนตกชุกมากที่สุดในรอบปี จากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออก
ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ยังอาจได้รับอิทธิพลจากพายุเขตร้อนเคลื่อนเข้าใกล้หรือเข้าสู่ประเทศไทย บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคกลาง นั้น
กรมชลประทาน จึงขอประชาสัมพันธ์เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา งดการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่องหลังการเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ เพื่อลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งนี้ กรมชลประทาน โดยโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาผักไห่ ร่วมกับฝ่ายปกครองท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้นำชุมชน ร่วมจัดทำประชาคมชี้แจงสถานการณ์น้ำและแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งผักไห่ ต.หัวเวียง ต.บ้านกระทุ่ม ต.บ้านโพธิ์ ต.รางจระเข้ ต.เจ้าเสด็จ ต.ลาดงา อ.เสนา และ ต.ปลายกลัด ต.เต่าเล่า อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา
ตามที่คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้มอบหมายให้กรมชลประทาน ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจและสำรวจความต้องการของเกษตรกร หากมีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น และมีความจำเป็นต้องผันน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำ ตามข้อสั่งการของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า
โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีความเข้าใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะสามารถช่วยกำจัดศัตรูพืชในนา ทั้งยังสามารถทำการประมงในช่วงเวลาน้ำหลาก แทนการทำนาได้อีกด้วย
ปัจจุบันพื้นที่ลุ่มต่ำผักไห่ ยังคงเหลือพื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวอยู่อีกประมาณ 5% ของพื้นที่ คาดว่า จะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 15 กันยายน 67 เพื่อเตรียมพื้นที่รับน้ำ ซึ่งกรมชลประทานจะพิจารณารับน้ำเข้าทุ่ง เมื่อปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในอัตราสูงสุด (ประมาณกลางเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม)
โดยจะทยอยรับน้ำเข้าระบบตามศักยภาพของคลอง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรและเส้นทางสัญจร หลังจากนั้นจะเริ่มทยอยปล่อยน้ำออกทุ่งประมาณปลายพฤศจิกายน แต่ยังคงน้ำไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้เกษตรกรได้เตรียมแปลงทำนาในรอบต่อไป
สำหรับสภาพภูมิอากาศ และปริมาณฝน (วันที่ 11ก.ย. 67 เวลา 06.00 น.) ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและตอนบนของภาคตะวันออก เฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศตำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและและอ่าว ตังเกี่ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน
ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศตำกำลังแรงปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบน ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีผ่นตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในบริเวณภาคเหนือ
ส่วนปริมาณฝนตกสะสม 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สูงสุด 3 ลำดับ
1. อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ปริมาณฝน 222.0 มม.
2. อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ปริมาณฝน 221.5 มม.
3. อ.แม่สาย จ.เชียงราย ปริมาณฝน 220.8 มม.
ทั้งนี้ จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ตาก ชัยนาท อ่างทอง หนองคาย อุดรธานี พระนครศรีอยุธยา นครพนม เชียงราย และสุพรรณบุรี
ขณะการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา
-ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนที่ระบายจากเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ และแควน้อยๆไหลมารวมกันที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีวัดน้ำ C.2 ค่ายจิรประวัติจ.นครสวรรค์ ปัจจุบัน 1,328 ลบ.ม./วินาที
-กรมชลประทาน บริหารจัดการน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันออกและ ฝั่งตะวันตก รวมรับน้ำ 254 ลบ.ม./วินาที แยกดังนี้
พื้นที่ฝั่งตะวันออก รับน้ำเข้าคลอง ประกอบด้วยคลองชัยนาท-ป่าสัก (ผ่าน ปตร.มโนรมย์) คลองชัยนาท-อยุธยา (ผ่าน ปตร.มหาราช) และคลองเล็กอื่นๆรวม 112 ลบ.ม./วินาที
พื้นที่ฝั่งตะวันตก รับน้ำเข้าคลอง ประกอบด้วย คลองมะขามเฒ่า-อู่ทองแม่น้ำท่าจีน (ผ่าน ปตร.พลเทพ) แม่น้ำน้อย (ผ่าน ปตร.บรมธาตุ) และคลองเล็กอื่นๆรวม 1442ลบ.ม./วินาที
-ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาวันนี้ 1,449 ลบ.ม./วินาที ระดับเหนือเขื่อน +14.88 ม.รทก. นอกจากนี้ เขื่อนป่าสักฯ ระบายนำลงสู่แม่นำป่าสัก 120 ลบ.ม./วินาทีไหลผ่านเขื่อนพระรามหก 201 ลบ.ม./วินาที ก่อนไหลมาบรรจบที่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสถานี C.29A อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เฉลี่ย 1,264 ลบ.ม./วินาที
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
