Home
|
ข่าว

พรรคประชาชน แฉ 5 พิรุธ ซื้อพลังงานสะอาด

Featured Image
พรรคประชาชน แฉ 5 พิรุธ ซื้อพลังงานสะอาด “ณัฐพงษ์” ยันไม่ได้ค้านทุน แต่ซัดรัฐบาลกำลังมอบสัมปทานให้กับเจ้าสัวกลุ่มทุนพลังงาน

 

 

 

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน และ นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวหัวข้อ Policy Watch “ขบวนการค่าไฟแพง กำลังจะถูกสานต่อโดยรัฐบาลเพื่อไทย”นานศุภโชติ กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติหรือ กพช. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเป็นประธาน มีมติรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด

 

 

 

สำหรับปี 2565-2573 ตามแผนพลังงานชาติฉบับปี 2018 ปรับปรุงครั้งที่ 1 รวมไปถึงกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทขึ้น เช่น รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.17 บาทต่อหน่วยหรือจะเป็นการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ 3.1 บาทต่อหน่วย โดยพ่วงท้ายแถมมาด้วยว่า สามารถเปลี่ยนแปลงปริมาณและเงื่อนไงการรับซื้อได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนอัตราที่รับซื้อได้

 

 

 

นายศุภโชติ กล่าวต่อว่า พอมติ กพช. ออกมาแบบนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็รับลูกด้วยการออกหลักเกณฑ์จัดหาพลังงานสะอาดจำนวน 5,203 MW เมื่อวันที่ 30 กันยายนปีเดียวกัน ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ออกมาก็ระบุไว้ว่า จะไม่มีการประมูลเรื่องราคากัน การจัดหาไฟฟ้ารอบแรกยังไม่เสร็จสิ้นยังไม่ได้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก แต่วันที่ 9 มีนาคม 2566 กพช.ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็มีมติทิ้งทวนว่า จะจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3,600 MW แล้วก็ยังบอกว่า ยืนยันจะให้ใช้อัตราการรับซื้อเดิม

 

 

 

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง.ที่มีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ได้มีมติ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ การจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดรอบเพิ่มเติมจำนวน3,600 MW แต่ไม่แน่ใจว่า มีการปรับปรุงอย่างไรจึงทำให้มีการล็อกโควตากว่า 2,100 MW ให้กับผู้ที่เคยยื่นเข้ามาในรอบ 5,200 MW เมื่อตอนปี 2565 เท่านั้น และเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมาทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานก็มีการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบเพิ่มเติมตามมติ กบง.

 

 

ทั้งนี้ จากการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบนี้นั้น ได้สรุปข้อพิรุธออกมาทั้งหมดจำนวน 5 ข้อ คือ

 

 

 

1.ด้วยโครงสร้างของประเทศไทยทุกการรับซื้อไฟฟ้าของรัฐ ทุกสัญญาสัมปทานที่รัฐให้เอกชนจะกลายเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนทุกคน ถ้ามีการซื้อไฟแพงต้นทุนค่าไฟของพี่น้องประชาชนก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ปกติแล้วเวลาเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจะมีการให้เอกชนแข่งกันเสนอราคา ที่ตัวเองสามารถทำได้เข้ามาให้รัฐเป็นคนตัดสิน

 

 

 

ใครที่สามารถทำราคาได้ถูกที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะไป เช่น รัฐกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.17 บาท ต่อหน่วย และเปิดให้เอกชนเสนอราคาว่าพวกเขาสามารถทำราคาที่ถูกกว่านี้ได้เท่าไร บางคนสามารถทำได้ที่ราคา 1.9 บาทหรือบางคนทำราคาได้ที่ 1.7 บาท ต่อหน่วยคนที่เสนอราคาได้ถูกที่สุดคือ 1.7บาทต่อหน่วยก็จะเป็นผู้ชนะไป

 

 

 

ซึ่งกลไกแบบนี้ก็จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนทั้งหมดลดลง แต่จากการที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในรอบนี้ แต่ไม่มีประมูลแข่งขันให้ได้ราคาที่ดีที่สุดนั้นประชาชนคนจะต้องเป็นคนแบกรับการจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

 

 

นายศุภโชติ กล่าวว่า ในขณะที่ประชาชนต้องเสียประโยชน์จากการจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้น แต่ คนที่ได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลตั้งราคารับซื้อที่ค่อนข้างสูง และไม่ให้มีการประมูลแข่งกันเรื่องราคาเข้ามา ก็คือ เอกชนที่ได้โครงการไป เพราะว่าพวกเขาก็จะได้กำไรแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว สิ่งนี้สะท้อนอยู่ใน การประกาศรับซื้อเมื่อปี 2565

 

 

 

2.การรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบกำหนดเงื่อนไขกีดกัน รัฐวิสาหกิจ อย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ออกจากกระบวนการรับซื้อไปเลย ทั้งๆ ที่ กฟผ.เคยพิสูจน์ว่า ทำโครงการโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ที่เขื่อนสิรินธร ได้ในปี พ.ศ. 2564 และมีต้นทุนไฟฟ้าอยู่ที่1.5 บาท/หน่วย แต่ถูกกีดกันออกจากการรับซื้อในรอบนี้คนที่สามารถผลิตของถูกได้ ท่านไม่เอา แต่รัฐบาลกลับยินดีประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.2 บาท/หน่วย เมื่อปี 2565 และ 2567 ก็ยังคงใช้ราคาเดิมซึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจว่า ในเมื่อรัฐวิสาหกิจ อย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตสามารถทำราคาได้ถูกกว่าทำไมถึงไม่ยอมให้เข้าร่วมกระบวนการการคัดเลือกในรอบนี้

 

 

 

3.การรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนที่ใช้ในการคัดเลือกก่อนเลย ตั้งแต่ในรอบปี 2565 และ รอบปี 2567 นี้ก็เช่นกันก็ยังไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนให้เอกชนรู้ก่อนได้เลยว่า เขาควรจะเตรียมโครงการยังไงเพื่อที่จะทำให้ชนะการคัดเลือกเลยทำให้มีช่องโหว่ในการตัดสินและผู้ประเมินก็สามารถใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจเพื่อเข้าข้างใครก็ได้

 

 

“ในรอบที่ผ่านมาปี 2565 พอกระบวนการแบบนี้ออกมาก็มีคนไม่พอใจ มีคนไปฟ้องร้องกันเหมือนที่ผมได้พูดไปจนเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 ศาลปกครองได้ระบุในคำแถลงว่า “กระบวนการคัดเลือกไม่มีความโปร่งใสและยุติธรรมจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ได้” นายศุภโชติ กล่าวอีกว่า ผลลัพธ์ในรอบ 2565 ก็คือมีกลุ่มทุนพลังงานกลุ่มเดียวได้รับเป็นผู้คัดเลือกสูงถึง 58% หรือ 3,000 MW จากการรับซื้อทั้งหมด 5,203 MW นี่อาจจะเป็นคำตอบของเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมรัฐบาลถึงไม่เปิดประมูลเรื่องราคา ทั้งหมดก็เพื่อที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานใช่หรือไม่

 

4.จากการรับซื้อ 3,632 MW นี้ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก 2,168 MW และกลุ่มที่ 2 คือ ที่เหลือกลุ่มที่เป็นปัญหา คือ กลุ่มแรก 2,168 MW ได้มีการกำหนดเงื่อนไขผู้ที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกว่าให้เฉพาะคนที่เคยผ่านการคัดเลือกรอบแรกเมื่อปี 2565 เท่านั้น เหมือนเป็นการล็อคมงไว้แล้วไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในการรับซื้อไฟฟ้าของกลุ่มนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

 

5.การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มอีกถึง 3,632 MW โดยไม่มีความจำเป็น ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ต้องการพลังงานสะอาดในประเทศ ประเทศเราจำเป็นต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็นจำนวนมากแต่ปัญหามันอยู่ที่วิธีการจัดหา ถ้าเป็นกระบวนการจัดหาแบบที่ผมพูดมาทั้งหมดว่า มันจะทำให้ภาระของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น จากการที่ไปซื้อไฟแพงมาก ๆ มาจากเอกชนหรือมาจากกลุ่มทุนพลังงาน กระบวนการแบบนี้ไม่ควรทำ

 

 

ขณะที่นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีข้อเรียกร้องที่อยากส่งไปยังนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นประธาน กพช.ที่มีอำนาจเต็มในการหยุดยั้งขบวนการที่พวกเราตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นขบวนการขูดรีดประชาชนเป็นขบวนฟอกเขียวเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจหรือไม่ ซึ่งต้องย้อนมาดูโจทย์ใหญ่ในช่วง 10 ที่ผ่านมา ในขณะที่ประชาชนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ 90 % ต่อ GDP ซึ่งมีหนี้สินสูงถึง 6 ล้านล้านบาท แต่เจ้าสัว 50 คนแรกรวยขึ้นกว่า 2 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้กำลังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทุกวัน

 

 

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาชนไม่ได้ค้านทุน ตราบใดที่กลุ่มสามารถส่งออกสินค้าและบริการที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับระบบเศรษฐกิจไทย ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศกลับเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ในประเทศพวกเราสนับสนุนและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกชุดที่จะต้องสนับสนุนกลุ่มทุนเหล่านั้นให้เติบโตในเวทีโลก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ก็คือกลุ่มทุนที่เอารัดเอาเปรียบและสูบเลือดสูบเนื้อประชาชน แล้วถ่างช่องว่างช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทุกวัน ซึ่งกลุ่มทุนพลังงานก็เป็นกลุ่มทุนเหล่านั้นทำให้ประชาชนเสียค่าไฟที่แพงกว่าความเป็นจริง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นกลับกำลังไหลกลับเข้าสู่กระเป๋าเจ้าสัว

 

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า เราได้คำนวณออกมาว่า เฉพาะ 3,600 MW จะทำให้ประชาชนต้องรับซื้อพลังงานเกินจริงถึง 4,162 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นตลอดอายุสัมปทาน 25 ปีจะเป็น 104,050 ล้านบาท ถ้านายกฯ ไม่ออกมาหยุดยั้งขบวนการที่สูบเลือดสูบเนื้อประชาชนแบบนี้ อีก 25 ปีข้างหน้า คนไทยจะมอบเงินออกกระเป๋าที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัวอย่างไม่มีความจำเป็น

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube