“จตุพร” ชี้รัฐบาลไม่ควรเร่งเจรจาขุดพลังงานกับกัมพูชา ซัดรีบผิดสังเกตส่อเสี่ยงเสียเกาะกูด เพื่อสัมปทานน้ำมันของเชฟรอน เตือนเจรจาดินแดนให้ยุติก่อนสูบน้ำมัน ฟาด “ภูมิธรรม”อย่าคลั่งประโยชน์นายมากกว่าประเทศ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ควรเร่งรีบเจรจาหาผลประโยชน์จากแหล่งพลังงานทับซ้อนกับกัมพูชาตาม MOU 44 เพราะจะทำให้สุ่มเสี่ยงกับการเสียดินแดนเกาะกูด
ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตกับการเจรจา MOU 44 รัฐบาลได้ออกอาการเร่งอย่างผิดปกติและพูดความจริงกับคนไทยไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ถ้าการเจรจาสามารถตกลงกันได้กับกัมพูชา จนร่วมมือขุดสูบพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว แต่มีปัญหาว่าประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากพลังงานที่สูบขึ้นมาเลย เพราะได้ยกสัมปทานให้กลุ่มเชฟรอนไปเมื่อกว่า 50 ปีที่ผ่านมาแล้ว
“การเร่งของรัฐบาลจึงเท่ากับทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงในการไทยต้องเสียดินแดนซ้ำรอยอีก และครั้งนี้เป็นการเสียดินแดนเพื่อให้เชฟรอนได้ประโยชน์จากพลังงาน ส่วนคนไทยไม่ได้ใช้น้ำมันหรือพลังงานราคาลดลงแต่อย่างใด”
นายจตุพร กล่าวถึงต้นทุนราคาพลังงานของไทยถูกนำไปอิงกับราคาการผลิตของสิคโปร์ ขณะที่ไฟฟ้าผลิตได้จากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซยังอิงราคาขายจากการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนกักน้ำ ที่สร้างมาจากงบประมาณของรัฐ และราคาไม่ได้ถูกลงเลย ดังนั้น ราคาไฟฟ้าจึงมีราคาแพงภายใต้การกำกับราคาของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงแล้ว เราควรต้องลดต้นทุนการผลิตน้ำมัน ด้วยการหักกำไรจากภาษีบางประเภทได้หรือไม่ เพื่อให้คนไทยได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง และการอิงราคาน้ำมันจากสิงคโปร์ ไม่ได้ทำให้การสูบน้ำมันในไทยขึ้นมาแล้วราคาจะถูกลง
“สิ่งที่พูดมาตลอดเพื่อจะบอกว่า การเร่งรีบต่างๆ เพื่อนำน้ำมันจากแหล่งทับซ้อนกับกัมพูชามาหาประโยชน์ แต่ทำไมรัฐบาลไม่พูดว่าจะไปรื้อเรื่องสัญญาสัมปทานที่ไทยทำไว้กับเชฟรอนว่าจะยกเลิกอย่างไร เพราะกว่า 50 ปีที่ทำสัญญานั้นสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยิ่งกว่านั้น การเร่งอย่างผิดสังเกตของรัฐบาล เราต้องตรวจสอบคนไทยเป็นใครที่ไปร่วมทำธุรกิจน้ำมันกับกัมพูชา เพื่อให้ทุกอย่างได้คลี่คลายเป็นคำตอบ
นายจตุพร กล่าวว่า การเร่งเพื่อสูบพลังงานหาประโยชน์ร่วมกับกัมพูชานั้น จะสุ่มเสี่ยงเสียดินแดนให้กัมพูชาด้วย
เพราะการเสียปราสาทเขาพระวิหารไปแล้วยังอยู่ในความจดจำของคนไทยมิลืม
มาครั้งนี้ การกลับมาเร่งรีบดำเนินการตาม MOU 44 จึงสะท้อนถึงความเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เพราะถึงเจาจราสำเร็จขุดน้ำมันขึ้นมาได้ เชฟรอนก็ได้ไป แม้ไทยได้ค่าสัมปทานบ้าง แต่น้อยนิดเมื่อเทียบกับผลประโยชน์โดยรวมทั้งหมด อีกอย่างคนไทยไม่ได้มีหลักประกันใดว่าจะได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง ดังนั้น ปัญหาจึงมีว่า จะรีบเจรจาขุดน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนกันไปทำไม อีกทั้งกล่าวว่า ไทยยกสัมปทานน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนให้เชฟรอนมากว่า 50 ปี โดยมีหลักคิดทางพื้นที่ทางยุทธศาสตร์สงครามอินโดจีน ลาว กัมพูชา เวียดนามเป็นตัวกำหนดให้หาพื้นที่พลังงานเพื่อการทำสงคราม
ส่วนที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับบอกไม่ให้คนไทยคลั่งชาติ ในความหมายไม่ยอมเสียดินแดนเพื่อแลกกับผลประโยชน์การขุดน้ำมันมาพัฒนาเศรษฐกิจ แต่พอถึงเวลาคนไทยไม่ยอมเสียดินแดนแล้ว สหายอ้วน-ภูมิธรรม ก็เอาอะไรไม่อยู่เหมือนกัน
“ถ้าสถานการณ์นำพาไปสู่ความสุ่มเสี่ยง คุณภูมิธรรม อธิบายความซิว่า ถ้าสูบน้ำมันตรงนี้ ปตท.ได้อะไร ประเทศไทยได้อะไรเมื่อยกให้ต่างชาติไปแล้ว คือชีวิตของคุณภูมิธรรม มาการันตีไม่ได้ โดยจะคลั่งชาติ หรือคลั่งอ้วนก็ตาม เพราะประวัติศาสตร์บอกไทยอยู่แล้วว่า อะไรที่สุ่มเสี่ยงแล้วคิดว่าจะชนะ มันไม่ใช่”
พร้อมกล่าวว่า เราไม่ได้คลั่งชาติ แต่มีความรักชาติบ้านเมือง เพราะอะไรที่มีความสุ่มเสี่ยงในเรื่องดินแดน โดยที่ยังจัดการปัญหาต่างๆ ให้พร้อมแล้วจะเอาดินแดนไปเสี่ยงอีกรอบได้อย่างไร ดังนั้น กรณีเกาะกูดจึงเป็นความสุ่มเสี่ยง ถ้าไปยอมรับในเรื่องใต้แผ่นดิน เราจะเสียเรื่องบนดินคือ เสียดินแดน
“ดังนั้น อย่ารีบไปหาเรื่อง ควรเริ่มทำเรื่องดินแดนให้จบก่อน จากนั้นไปจัดการเปิดสัญญาสัมปทานกับเชฟรอนให้คนไทยได้รู้ว่า เราเสียอะไรบาง โดยไม่ต้องรีบ ถ้าขุดน้ำมันขึ้นมาแล้ว เราได้ลดราคาน้ำมันไปครึ่งหนึ่ง ก็พอรับฟังในความทุเรศได้บ้าง แต่นี้ไม่มีหลักประกันอะไร เราก็ซื้อน้ำมันแพงเหมือนเดิม”
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ต้องทำความจริงให้ปรากฎ ส่วนรัฐบาลไม่พยายามจะพูดความจริง ซึ่งนายกฯ ที่จะเร่งเจรจาขุดน้ำมันขึ้นมานั้น ต้องตอบคำถามด้วยว่า ประเทศไทยจะได้อะไรก่อน และประเทศไทยจะเสียอะไร
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews