เสวนาทิศทางการเมืองไทยเห็นตรงกันแก้รธน.60 ยาก
วงเสวนาทิศทางการเมืองไทย 2568 เห็นตรงกันแก้ รธน.60 ยาก ควรแก้ไขรายมาตราก่อน “พงศ์เทพ” ติงพวกยึดอำนาจไม่สนเสียงประชาชน “พริษฐ์” ชวนจับตาผลงานรัฐบาล 6 ด้าน มองปฏิรูปได้ช้า เชื่อเจอ 2 ตอ ทำสะดุด
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยและเครือข่าย จัดเสวนารัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย ประชาชน ทิศทางการเมืองไทย 2568 กับอนาคตประเทศไทย โดยนายโอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณะบดีคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ประเดิมเวทีเป็นคนแรก กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกสงสารนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน กับการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงคิดว่า ช่วงปี 2568 กมธ.ควรพยายามเดินหน้าแก้ไข
รธน.รายมาตราก่อน ควบคู่กับปลุกพลังทางสังคม ให้เกิดถกเถียงกันว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มันมีปัญหาอะไรบ้าง และภาคประชาสังคมอยากเห็นรัฐธรรมนูญแบบไหนอย่างไร เพื่อให้กรรมาธิการมีหลังพิงอยู่บ้าง หรือให้เกิดพลังทางสังคมขึ้นมา รวมไปถึงการทำให้ผลักดันให้ประชาชนเป็นแถวหน้า ในการต่อต้านฉีกรัฐธรรมนูญ และสุดท้ายค่อยเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยใช้เวลาในการพัฒนาระบบประชาธิปไตยอย่างยาวนาน เนื่องจากไทยไม่ได้วางหลักฐานประชาธิปไตยที่มั่นคง และเมื่อเกิดปัญหาในระบอบประชาธิปไตยมักจะมีการตัดตอน ด้วยการสนับสนุนกลุ่มอำนาจนิยม ทำให้นักการเมืองมักจะถูกมองไม่ดีมากที่สุดเสมอ ทั้งที่คนไม่ดีก็มีอยู่ทุกแห่ง การที่มีคนไม่ดีกลุ่มนึงไม่ควรตีความว่าคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะไม่มีทั้งหมด และแม้แต่ในตุลาการก็มีการทุจริตคอรัปชั่น
โดยนายพงศ์เทพ เห็นด้วยว่า การที่ประชาชนมีส่วนร่วมต่อการใช้อำนาจรัฐเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจะทำให้ประชาชนรักษาประโยชน์ของตัวเองและช่วยกันพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันคนสามารถใช้สิทธิประชาธิปไตยทางตรงได้ ด้วยการแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายต่างๆผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ช่วยให้ประเทศไม่ต้องเสียงบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ทำประชามติ โดยเชื่อว่าหากทำได้ เช่นนี้แล้ว เมื่อใครมายึดอำนาจประชาชนจะออกมาช่วยกันปกป้องประชาธิปไตยเหมือนประเทศเกาหลีใต้ ดังนั้น ไทยจะก้าวพ้นการสืบทอดอำนาจของผู้ยึดอำนาจได้ อันดับแรกต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2567 เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน กล่าวว่า การแก้ปัญหาประเทศนี้จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่พอ ดังนั้นหากจะวัดผลงานของรัฐบาลตนขอยืมคำพูดของผู้ที่สนับสนุน รัฐบาลคนหนึ่งที่บอกว่าพรรคประชาชนเป็นพรรคปฏิวัติ และพรรครัฐบาลปัจจุบันเป็นพรรคปฏิรูป จึงอยากเชิญชวนประชาชนจับตาดูและประเมินการปฏิรูปโดยขอแยกเป็น 6 ด้านคือ
1. การปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2. ประเด็นปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยการแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบราชการกลาโหม
3.วาระการปฏิรูปท้องถิ่น และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
4.โครงสร้างการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ผ่านมามีมิติที่ดีขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน
5. การปฏิรูประบบสวัสดิการและภาษีดูรายได้เทียบกับ GDP และ 6.เรื่องการศึกษาที่มองว่าในปี 2568 ควร ทำ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่
ซึ่งส่วนตัวกังวลว่าความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจัดผลักดันวาระปฏิรูปดังกล่าวจะเจอ 2 ตอ คือ เจอภาวะ ครม. ที่ต่างคนต่างอยู่ และตอ ที่ 2 คือ ครม. ที่มีพรรคแกนนำเป็นตัวประกัน การผลักดันบางนโยบายที่อาจจะขัดกับผลประโยชน์ของกลุ่มก้อน ที่มีกำลังให้รัฐบาล ตั้งได้หรือดำรงอยู่ได้ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ซึ่งหากมีความเชื่อว่า สว.มีความเชื่อมโยงของกองทัพเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลนี้ตั้งได้ อาจจะเจอความท้าทายบทนี้ และถ้าหากครม.มีความเชื่อโยงกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และทุนผูกขาดก็จะเป็นความท้าทาย รวมถึงอาจจะมีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่มีทั้ง สส.เยอะและมีอิทธิพลกับ สว. เยอะจนมีอิทธิพลมากที่สุดในรัฐสภา
ส่วนนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ใกล้จะหมดพลังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมา โดยไม่เห็นหัวประชาชนและอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยความยากลำบาก 7 ปีที่ผ่านมา ดิฉันเองลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ก็ถูกสลายการชุมนุมคิดว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews