“พิชัย” เผย การเมือง-เศรษฐกิจ แยกกันไม่ได้ เชื่อ 10 มีบทเรียน
“พิชัย” เผย การเมืองเศรษฐกิจแยกกันไม่ได้ เชื่อ 10 มีบทเรียน ขอนักลงทุนมั่นใจการเมืองในไทยนิ่งแล้ว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บรรยายเรื่องสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจในประเทศไทย ณมหาวิทยาลัยโตเกียว ว่า การเมืองไทยตลอด 10 ปี ที่ผ่านมาทำให้เศรษฐกิจไทยค่อนข้างย่ำแย่มาตลอด ก่อนหน้าจะมีการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยโตได้ 5-8% หลังปฏิวัติเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ และในช่วง 10 ปี โตเพียง 1.9 %
แสดงว่าการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจไทย พอการเมืองกลับมามั่นคงเศรษฐกิจไทยก็กลับมาฟื้นใหม่ คนไทยรุ่นใหม่เข้าใจภาพการเมืองชัดเจนขึ้น เหมือนรูปแบบของเกาหลีใต้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เชื่อว่าประเทศไทยก็คล้ายกันแต่ตนจะไม่ยอมให้เกิดการปฏิวัติ และแนวทางของรัฐบาลนี้ เมื่อทำให้ไปในแนวทางที่ถูกต้องเศรษฐกิจก็น่าจะฟื้นตัว ตอนนี้ก็ต้องมีการแก้ปัญหาแก้หนี้ภาคครัวเรือน หากแก้เรื่องนี้ได้ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
นายพิชัย ได้รับฟังและตอบคำถามจากนักวิชาการญี่ปุ่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการเมืองไทย ซึ่งมีการถามถึงที่ผ่านตั้งแต่การปฏิวัติ ในช่วง 10 ปีมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเสื้อเหลือง ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นที่ลงทุนอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันชุมนุมสูญเสียกำไรไปเป็นจำนวนมาก และสมัยรัฐบาลของนายเศรษฐาทวี สินมี นักธุรกิจญี่ปุ่น ความเข้าใจว่าการเมืองไทยไม่มีความมั่นคงเท่าที่ควร และเมื่อดูจากสภาพการของประเทศไทยในปัจจุบัน เห็นว่ายังคงมีกลุ่มผู้ชุมนุมของเสื้อสีต่างๆ นักลงทุนกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีต
นายพิชัย ย้ำว่า การเมืองไทยมีปัญหาตั้งแต่ในอดีต และมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เดิมมีเสื้อเหลืองเสื้อแดง หลังๆมาจะมีเสื้อส้ม พอมีเสื้อส้ม เสื้อเหลืองเสื้อแดงก็เลยจับมือกัน การเมืองไทยซับซ้อนกว่าที่คิด บางเรื่องพูดได้ บางเรื่องก็พูดไม่ได้ แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าจากนี้ปัญหาต่างๆที่เกิดความรุนแรงในอดีตจะไม่มีแล้ว ทุกคนเรียนรู้แล้วจากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ทุกคนในประเทศจะใช้การเลือกตั้งเป็นการตัดสิน สังเกตได้จากการยุบพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาอะไร
ขึ้นอยู่กับการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันว่าจะทำได้ดีขนาดไหน ส่วนตัวเชื่อว่าจะสามารถบริหารงานได้ดี ความนิยมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลที่ถูกยุบไปก็เริ่มอ่อนแอลง ที่พูดแบบนี้ไม่ได้ว่า แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งก่อนพรรคเพื่อไทยก็มีพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนก็ถูกยุบมาแล้ว 2 หน
ทุกครั้งที่ถูกยุบพรรคจะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เพราะการสร้างบุคลากรทางการเมืองไม่ได้สร้างขึ้นง่ายๆ ผู้นำของพรรคประชาชนก็หลุดมาอยู่ในอันดับที่ 9 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จนกว่าจะเกิดการเลือกตั้ง ถึงจะมีความเห็นอีกครั้งว่าเวลานั้นจะเป็นอย่างไร แต่ เชื่อว่าครั้งหน้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากรัฐบาล บริหารดีๆ และสามารถ ชนะการเลือกตั้งได้ ปัญหาก็จะไม่มี สิ่งนี้คือการวิเคราะห์ตามความเป็นจริง
นอกจากนี้ ยังได้มีการถามถึงสาเหตุของความไม่มั่นคงทางการเมืองไทยว่าเกิดจากการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือไม่ ยังมีบางคนถูกขังอยู่ ตั้งแต่สมัยรัฐประหาร รัฐบาลมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อที่จะปลดปล่อยผู้ที่ยังถูกขังอยู่ นายพิชัย ระบุว่า เรื่องสองมาตรฐาน หากเป็นคดีการเมืองปกติ ได้มีการปล่อยตัวทั้งหมดแล้ว ยกเว้นบุคคลที่มีคดีที่เกี่ยวกับ ม.112 หรือ
ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับประเทศไทย และการเมืองไทย แต่เชื่อว่าสักพักหนึ่งก็จะถูกปล่อยตัว คงต้องติดตามว่าจะเป็นอย่างไร และยังได้ถามว่าคนต่างชาติดูการเมืองไทย พรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทย จะจับมือกันได้หรือไม่ ความเห็นส่วนตัวมองว่าเป็นอย่างไร นายพิชัย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน
จะจับมือกันนั้น เมื่อเลือกตั้งใหม่แล้วคงดูที่ตัวเลขจะออกมาอย่างไร แต่โดยปกติของคนทั้งโลกพรรคอันดับ 1 และ 2 จากไม่ค่อยจับมือกัน เป็นธรรมชาติที่พรรคการเมืองอันดับ 2 จะต้องแย่งในการจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อถามว่าจะจับมือกันได้ไหม มีโอกาสเป็นได้ทั้งหมดในโลกนี้ จริงๆแล้วส่วนตัวก็สนิทกับพรรคประชาชนหลายคน มีการกินข้าวและคุยกันตลอดเวลา
สำหรับการเมืองไทยและการเมืองทั้งโลกไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทุกอย่างปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ อย่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยสมัยก่อนเราทะเลาะกัน เพราะพรรคภูมิใจไทย ก็แยกตัวไปจากพรรคเพื่อไทยและนำคนของพรรคเพื่อไทยไป ตอนนี้ทั้ง 2 พรรคก็มาจับมือกันได้ หรือพรรคพลังประชาชนและพรรครวมไทยสร้างชาติเองสมัยก่อนก็ทะเลาะกับพรรคเพื่อไทย นี่คือสิ่งที่ซับซ้อนของการเมืองไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ที่ซับซ้อนกว่านี้คงพูดไม่ได้ จึงขอให้มั่นใจว่าภาพรวมการเมืองไทยนิ่งมาก
เห็นได้จากการร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร ศาลก็มีการยกฟ้อง หากเป็นสมัยก่อนคงโดนยุบพรรคไปแล้ว เชื่อว่าทุกคนในประเทศอยากให้เศรษฐกิจเติบโต ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ตนเองเดินทางมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ การที่มาพบนักลงทุนญี่ปุ่น เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าต่อไปได้ หากนักลงทุนญี่ปุ่นกลับมาเยอะๆ ไม่อยากให้ 90% ของนักลงทุนญี่ปุ่นหนีกลับบ้านอีก
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews