Home
|
ข่าว

“พิชัย​” เห็นด้วยเศรษฐกิจไม่ดี ขอตั้งเป้า​ GDP ปีนี้ต้องถึง​ 3

Featured Image

 

 

“พิชัย​” แจงสภา​ฯ​ เห็นด้วย “ศิริกัญญา” เศรษฐกิจไม่ดีมานาน ขอสู้ตั้งเป้า​GDPปีนี้ต้องถึง​3 ลั่น ไม่สู้ไม่ได้​ เตรียมลดพื้นที่ปลูกข้าว​ 12 ล้านไร่​ ใช้ปลูกพืชอื่น​ หลังราคาส่งออกเสมอต้นทุน​ เหมือนทำงานฟรีไม่มีกำไร​ รับ​ คลังพิมพ์เงินเองไม่ได้​ หวัง Token เสริมสภาพคล่อง

 

 

 

นายพิชัย​ ชุณหวชิร​ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ ชี้แจงกรณีนางสาวศิริกัญญา​ ตันสกุล​ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชนอภิปราย​ ว่า​ ตนไม่เถียงและเห็นด้วยว่าเศรษฐกิจไม่ดีมาอย่างยาวนาน อย่างที่ท่านพูดในอดีตว่าเราเคยดี แต่ไม่ใช่ดีเพราะจังหวะดี​ เพราะความฟลุ๊ค​ แต่ดีเพราะเรื่องต่างๆที่เราได้ทำไปในอดีต ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีพืชผลทางการเกษตรก็ไม่ดี การลงทุนอุตสาหกรรมไม่ดีเพราะเราสู้เขาไม่ได้ การลงทุนภาครัฐที่เบิกจ่ายช้า รวมถึงเรื่องการส่งออก

 

แต่อย่างไรก็ตามถ้าจะบอกว่าไม่ดู GDP คงไม่ได้ เพราะการที่ GDP ดี กระท้อนว่าประชาชนอยู่ดีกินดี มีกำลังซื้อกำลังบริโภค ซึ่งหมายถึงว่ามีการจ้างงาน มีการลงทุนส่วนตัว จึงอยากเรียนว่าแม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะไม่มีความหวังด้าน GDP ไปหากดูเป้าที่ 2.5% จะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาโตขึ้นมาประมาณ 30% จึงตั้งเป้าว่าในปีนี้ จากผลักดันให้ GDP ต้องไม่ต่ำกว่า 3% เราจะไม่ตั้งก็ไม่ได้หรือไม่สู้ก็ไม่ได้

 

ส่วนด้านการเกษตร เช่น ข้าว ไทยมีการส่งออกจำนวนมาก ซึ่งมากกว่าจำนวนบริโภคภายในประเทศ แต่ราคาในการขายเกือบเสมอต้นทุน นั่นหมายความว่าเราส่งออกโดยที่ไม่มีกำไรเหลือเลย แล้วเราจะผลิตทำไม​ ยิ่งส่งออกมากยิ่งแย่ ถ้าราคาเท่ากับต้นทุน เพราะนั่นจะเท่ากับเราทำงานฟรี โดยปัจจุบันประเทศไทยผลิตข้าวสารได้ 17 ล้านตันต่อปี บริโภคภายในประเทศประมาณ 11 ล้านตัน นั่นหมายความว่าเหลืออยู่ 6 ล้านตัน ซึ่งสิ่งที่ต้องทำมีอยู่ 2 อย่าง คือปลูกข้าวในสถานที่ที่เล็กลง และนำพื้นที่ที่เหลือไปปลูกอย่างอื่น

 

ซึ่งหากคำนวณคร่าวๆจะมีพื้นที่เพิ่ม 12 ล้านไร่ ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะนำพื้นที่ดังกล่าวไปทำอะไร แต่ก็น่าจะเป็นการผลิตพืชผลทางการเกษตรที่ประเทศเคยนำเข้า เช่น​ ข้าวโพด ที่นำเข้าอยู่ในราคา 8.0-8.50 บาท ต่อกิโลกรัม ดังนั้น หากนำพื้นที่ดังกล่าวมาปลูก จะได้ข้าวโพดประมาณ 1,800 กิโลกรัม/ไร่​ ขายได้ประมาณ 16,000 บาทต่อไร่ แต่สิ่งสำคัญคือการทำให้เกษตรกรเข้าใจ และในช่วงแรกก็จะต้องมีการดูแล อย่างไรก็ตาม พืชผลทางการเกษตร ของทุกประเทศ ถือเป็นยุทธปัจจัยที่จำเป็นของประเทศ​ไม่ว่าจะมีต้นทุนเท่าใดก็ต้องปลูกเพื่อความมั่นคง​ของ​ประเทศ​

 

ขณะเดียวกันนายพิชัย​ ยังระบุ ถึงอัตราค่าไฟฟ้า โดยยอมรับว่าค่าไฟฟ้าของประเทศไทยสูงไป อยู่ที่ 4.10 บาท​ ซึ่งตนเห็นว่าราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 3.50 บาท ซึ่งหากดูแล้วเหมือนจะลดไม่ได้ เพราะต้นทุนมาจาก และโรงไฟฟ้า และค่าเชื้อเพลิง แต่ตนอยากตั้งสมมติฐานว่า ไทยมีโรงไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น ซึ่งต้นทุนจะต้องมาถัวเฉลี่ยการคิดค่าไฟทั้งหมด

 

ดังนั้นถ้ามีการใช้ไฟเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่สามารถขายไฟได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตัวหารค่าไฟเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูล Data Center หลายแห่งต้องการใช้ไฟฟ้า รวมถึงผู้ทำไบโอพลาสติก ต้องการไฟฟ้าพลังงานสีเขียว เครื่องในเฟสแรกเขาจะยอมใช้ประเทศไทยมีอะไรประเทศไทยมีอะไร เขาใช้ทั้งหมด เพราะหลายประเทศไฟฟ้าไม่พอ หมดเฟสที่ 2 อาจต้องเป็นไฟฟ้าพลังงานสีเขียว

 

แต่สิ่งที่จะทำให้ค่าไฟลดลงได้อย่างแท้จริง คือการปรับโครงสร้างของการผลิตไฟ จากไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ LPG เป็นสิ่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่นโซล่าเซลล์ที่ปัจจุบันมีต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อยๆ และคาดว่าจะใช้ต้นทุนไฟฟ้าไม่เกิน 2 บาท ต่อหน่วย พร้อมกับมองว่าการท่องเที่ยวถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้ต้นทุนของค่าไฟฟ้าทั้งต่ำลงได้

 

ส่วนเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจนายพิชัยกล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจจำเป็นจะต้องเติมเม็ดเงินลงไปไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง วันนี้หนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นถึงในจุดหนึ่ง พร้อมกับกล่าวว่าการใช้ศัพท์คำว่า stable Coin จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เราอยู่ในประเทศไทยวันนี้ด้วยกฎหมายของแบงค์ชาติ กระทรวงการคลังไม่สามารถ พิมพ์เงินใหม่ขึ้นมาคู่ขนานหรือแข่งกับแบงค์ชาติได้ แต่สิ่งที่เราจะทำ เพื่อให้เกิดสภาพคล่องมากขึ้น เพราะดิจิทัล อย่างน้อยรัฐบาลกู้หนี้จากประชาชน ปีหนึ่งประมาณแสนล้านบาท ซึ่งปกติจะไปสู่สถาบันการเงินหรือคนที่มีเงิน

 

ซึ่งคนที่อยากจะซื้อตรงนี้ ต้องเปลี่ยนให้เป็น Token แต่ไม่เป็นเงินใหม่เนื่องจากเทียบเท่ากัน พร้อมยอมรับว่าไม่มีอะไรแปลกแต่เพียงแต่ทำให้การแลกเปลี่ยนนั้นง่ายยิ่งขึ้น​ คนไม่อยากจะเรียกว่านี่คือเงินใหม่ที่รัฐบาลพิมพ์ แต่นี่คือเงินที่ถูกต้อง เสมือนกับที่แบงค์ชาติมีอยู่ เราจะไม่ทำอะไรออกนอกเหนือจากสิ่งที่แบงค์ชาติไม่เห็นด้วย

 

ขณะที่เรื่องตลาดหุ้น นายพิชัย กล่าวว่า ได้มีการแก้ไขปัญหาความได้เปรียบของนักลงทุนต่างชาติมากกว่านักลงทุนไทยไปแล้ว 80-90%

 

ส่วนเรื่องการแก้หนี้ ปกติแล้วขั้นตอนโดยทั่วไป คือขอยืดหยุ่น หยุดหนี้จ่ายน้อยลง ซึ่งสิ่งนั้นทำได้เฉพาะคนที่ยังมีกำลังอยู่ ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินการแก้ไขปัญหาไปแล้วประมาณ 30% แต่เราคิดว่าวันนี้ เงินที่เตรียมไว้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใช้ไปเพียงครึ่งเดียว เมื่อเรานำหนี้ทั้งหมด 13.6 ล้านล้าน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงไม่มีเงินซื้อทั้งหมด​ เพราะในจำนวนนี้มีหนี้ที่ไม่เสียรวมอยู่ด้วย โดยจะเลือกเอาเฉพาะที่เป็นหนี้เสียแล้ว โดยจะไม่แตะในกลุ่มลูกหนี้ที่มีกำลังสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ได้ โดยเลือกแต่ลูกหนี้ไม่มีหลักทรัพย์หรือไม่มีปัญญาแล้ว​

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube