นายกฯสั่งทีมศก.ประเมินผลกระทบโควิดเยียวยาปชช.
นายกรัฐมนตรี มอบหน่วยงานด้านเศรษฐกิจประเมินผลกระทบหลังออกมาตรการคุมโควิด-19 เสนอ ศบศ. ออกแนวทางเยียวยาประชาชน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม กำชับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เร่งประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการยกระดับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อกำหนดแนวทางการเยียวยาผู้ที่ได้รับกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และประชาชน รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่ โดยให้เตรียมความพร้อมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบศ. ซึ่งจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้
นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามและประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ จากการออกมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ระลอกใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นที่มีการปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ฯลฯ ทั่วประเทศ กระทั่งมาถึงมาตรการล่าสุดที่เน้นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร ซึ่งแม้ก่อนออกมาตรการต่างๆ จะได้ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน แต่ก็ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังเร่งประเมินผลหลังมีมาตรการออกไปแล้วเพื่อกลั่นกรองเป็นแนวทางการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความห่วงใยประชาชน ทั้งที่ได้รับผลกระทบทางตรงและได้รับผลกระทบทางอ้อม โดยได้ขอให้กระทรวงอื่นๆได้เตรียมความพร้อม สำหรับมาตรการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชนด้วย เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้มีมาตรการช่วยลดค่าครองชีพ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ รวมถึงแก๊ส ฯลฯ ซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้เป็นอย่างดี ถือเป็นแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน โดยมาตรการเยียวยาต่างๆ จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ รัดกุม และรวดเร็ว ให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ครอบคลุมที่สุด พร้อมกับมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของระบาดรอบนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด
น.ส.ไตรศุลี ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยว่า แม้ในช่วงระยะที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) กิจกรรมภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะลดลงไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีความจำเป็นในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากทั้งกิจกรรมการผลิตอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง พร้อมได้กำชับว่าเมื่อได้มีการกำหนดเป้าหมายแล้วประเทศไทยจะต้องผลักดันภาคส่วนต่างๆ ทั้งส่วนการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม การขนส่งให้ได้ตามเป้าหมาย เช่นเดียวกับนานาชาติที่มีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก บางประเทศกำหนดเป้าหมายการปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ ประเทศไทยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งกับนานาชาติในการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ต้องอาศัยทั้งการลงมือปฏิบัติและใช้เวลาการเปลี่ยนแปลงจึงจะเกิดขึ้นได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลการลงทุนทั้งภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือกิจกรรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำการสื่อสารและมีมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับปรุงการผลิต รวมถึงลงทุนในเทคโนโลยี มีนวัตกรรมใหม่เพื่อไปสู่การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่นอกจากจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยลดลง แนวทางดังกล่าวยังเป็นกระแสของโลกที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสนใจสินค้าจากผู้ผลิตที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news