ศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบ16 ทีมสุดท้าย ประจำค่ำคืนวันเสาร์ 26 มิถุนายน 2564 ที่ สนาม โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า ประเทศฮอลแลนด์ ระหว่าง ”มังกรเเดง” ทีมชาติเวลส์ ลงสนามพบกับ ”โคนม” ทีมชาติเดนมาร์ก ซึ่งจะเริ่มฟาดเเข้งในเวลา 23:00 น.
ทั้งสองทีมเข้ารอบมาได้ เนื่องจากผลต่างประตูได้เสียทั้งคู่ เวลส์ มี 4 คะแนน เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม เอ ตามหลัง อิตาลี ขณะที่ เดนมาร์ก กลายเป็นทีมแรกในการแข่งขันฟุตบอลยูโร รอบสุดท้าย ที่แพ้ในสองนัดแรกและยังเข้ารอบมาได้ ด้วยการชนะ รัสเซีย ในนัดสุดท้าย เข้ารอบมาเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุดของกลุ่ม
คู่นี้ผู้ชนะในคู่นี้จะเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปพบกับผู้ชนะ ระหว่าง เนเธอร์แลนด์ หรือ สาธารณรัฐเช็ก ในวันที่ 3 กรกฎาคม ต่อไป
สถิติการพบกันทั้งหมด 9 ครั้ง เวลส์ ชนะ 4 ครั้ง เดนมาร์ก ชนะ 5 ครั้ง เเละไม่เคยเสมอกันเลย
ความพร้อมล่าสุดของทั้งสองทีม
เริ่มที่ เวลส์ผ่านเข้ารอบมาในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เกมนี้ ไม่สามารถใช้บริการ อีธาน อัมพาดู กองกลางคนสำคัญที่ติดโทษแบน หลังจากเจอไล่ออกระหว่างเกมแพ้อิตาลี
ส่วนตำแหน่งอื่นๆอยู่กันพร้อมหน้า เเละเวลส์ น่าใช้ผู้เล่นชุดเดิมลงสนามเป็นหลัก โดยววาง แกเร็ธ เบลล์, อารอน แรมซี่ย์ และ แดเนี่ยล เจมส์ เป็นทีเด็ดตรงแดนบน ปล่อยให้ คีฟเฟอร์ มัวร์ ลงล่าตาข่าย
ฟาก เดนมาร์กผ่านเข้ารอบมาเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุดของกลุ่ม เกมนี้จะไม่มี คริสเตียน อีริคเซ่น จอมทัพคนสำคัญที่ถอนตัวออกไปเพราะมีปัญหาด้านสุขภาพ นอกนั้นกำลังหลักที่เหลือพร้อมลงสนาม นำโดย แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ลงเฝ้าเสา ไซม่อน เคียร์ ลงคุมเเนวรับ แดนกลางมี ปิแอร์ ฮอยเบิร์ก ค่อยปักหลักคุมเกม ,ดาเนี่ยล วาสส์ เป็นทีเด็ดตรงริมเส้น เเละ ยุซุฟ โพลเซ่น ,มาร์ติน เบเวต เป็นกองหน้าล่าตาข่ายเช่นเคย
หากมองความน่าจะเป็นคู่นี้ เวลส์ มีทีเด็ดของคือลูกสวนกลับบพร้อมมีเกมรับที่เหนียวแน่น เสียแค่ 2 ลูกในรอบที่แล้วอีทั้งแนวรุกฝีเท้าจัดจ้ายทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ เบล และ เจมส์ รวมถึง แรมซี่ย์ ที่คุมเกมได้ดี เพราะฉะนั้นหากเดนมาร์กอาจจะเจอทีเด็ดการโต้กลับของเวลส์ได้
ขณะที่ เดนมาร์กไม่ได้เล่นในบ้านเหมือนรอบแบ่งกลุ่มแรงฮึกเหิมจากเสียงเชียร์จึงน้อยลง ถึงแม้คุณภาพนักเตะเดนมาร์กจะเหนือกว่าอยู่บ้างก็ตามแต่ดูแล้วเดนมาร์กน่าจะเหนื่อยแน่นอน เพราะเวลส์เล่นเป็นทีมกว่าเเละลงตัวกว่าด้วยขนาดอิตาลีเจอยังหืดจับกว่าจะชนะได้ เกมนี้จึงเชื่อว่า เวลส์ ปิดจ๊อบได้เเบบไม่ยืดเยื้อ
ขณะที่ คู่ดึกเวลาตีสอง ที่สนาม เวมบลี่ย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่าง ทีมชาติอิตาลี โชว์ฟอร์มเด่นในรอบแบ่งกลุ่ม พบกับ ทีมชาติออสเตรีย อิตาลี ชนะรวด 3 นัด โดยไม่เสียประตู เข้ารอบมาเป็นที่ 1 กลุ่ม เอ ขณะที่ ออสเตรีย เอาชนะ ยูเครน มาได้ในนัดสุดท้าย ทำให้เข้ารอบมาเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ซีคู่นี้ ผู้ชนะในคู่นี้จะเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปพบกับผู้ชนะ ระหว่าง เบลเยี่ยม หรือ โปรตุเกส ในวันที่ 2 กรกฎาคม ต่อไป
ความพร้อมคู่นี้ อิตาลีก่อนแข่งเกมนี้คาดว่าจะยังไม่สามารถใช้งาน จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังตัวเก๋าที่บาดเจ็บแฮมสตริง ส่งผลให้เกมนี้โอกาสจะตกเป็นของ อเลสซานโดร บาสโตนี่ เซ็นเตอร์แบ็คจาก อินเตอร์มิลานลงสนามแทน ขณะที่แดนกลางคาดว่า มาร์โก แวร์รัตติ น่าจะได้ลงแทนที่ มานูเอล โลคาเตลลี่ ส่วน3 ประสานในแดนหน้าจะใช้ตัวหลักทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น โดเมนิโก้ เบราร์ดี้, ชิโร่ อิมโมบิเล่ และ ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ลงล่าตาข่ายในเกมนี้
ขณะที่ทางฝั่งของ ออสเตรีย สภาพความพร้อมในเกมนี้พวกเขาต้องรอเช็คความฟิตของ คริสตอฟ บวมกาเนอร์ กับ คอนราด ไลเมอร์ ที่บาดเจ็บในเกมกับยูเครน 2 ราย นอกเหนือจากนั้นฟิตพร้อมลงสนามทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ดาวิด อลาบา , มาร์เซล ซาบิตเซอร์ , มาร์โก อาร์เนาโตวิช ฯลฯ
ความน่าจะเป็นคู่นี้ อิตาลี มีฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่ง เกมรุกเด็ดขาดมาก ส่วนเกมรับก็เหนียวแน่นแบบสุดๆในรอบแบ่งกลุ่มไม่เสียเลยแม้แต่ลูกเดียว
ขณะที่ ฝั่งออสเตรียสภาพความพร้อมของพวกเขายังมีปัญหาตัวหลักอย่าง คอนราด ไลเมอร์ และ บวมการเนอร์ นั้นอาจจะไม่พร้อมด้ลงสนามทำให้ลดทอนประสิทธิภาพลงไป เกมนี้เชื่อว่า เกมรุกเด็ดขาดมาก ส่วนเกมรับก็เหนียวแน่น ของ พลพรรค “อัซซูรี่” ภายใต้การทำทีมของ มันชินี่ จะเอาชนะ ออสเตรีย ได้อย่างสบายๆแน่นอน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news