ความเคลื่อนไหวของทัพ “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดทำศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง กลุ่มซี นัดที่ 5 ที่จะบุกไปเยือน ทีมชาติจีน ในวันที่ 6 มิถุนายนนี้ และ นัดที่ 6 กลับมาเปิดสนามราชมังคลากีฬาสถาน พบกับ ทีมชาติสิงคโปร์ ในวันที่ 11 มิถุนายน 2567
ล่าสุด Beijing Youth Daily สื่อประเทศจีนรายงานว่า ทีมชาติจีนได้เลือกสนามแข่งขันที่จะลงเตะชี้ชะตาพบกับ ทีมชาติไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเลือกใช้ เสิ่นหยาง โอลิมปิก สปอร์ต เซนเตอร์ สเตเดียม เมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง ที่อยู่ห่างจากไทยถึง 3,800 กิโลเมตร เป็นสนามแข่งขันชี้ชะตากับทีมช้างศึก ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกวันที่ 6 มิถุนายนนี้
การเลือก เสิ่นหยาง โอลิมปิก สปอร์ต เซนเตอร์ สเตเดียม มีความจุผู้ชมมากถึง 60,000 ที่นั่งนั้น มีเหตุผลเรื่องของอุณหภูมิความร้อนที่ไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้จีนมีแผนเดิมที่ใช้สนามใน 2 เมือง คือ ต้าเหลียน และฉิง เต่า ก่อนตัดสินใจเลือกที่เสิ้นหยางในที่สุด ซึ่งการเลือกสนามดังกล่าว หลายคนมองว่า สร้างความได้เปรียบให้กับประเทศจีนได้หลายอย่าง อาทิ
เป็นการตัดกำลังของคู่ต่อสู้อย่างทีมชาติไทย เพราะในประเทศไทย มีไฟลท์บินตรง เข้าสู่เมืองเสิ่นหยางเพียงแค่สายการบินเดียวเท่านั้น คือ “ไชน่าเซาท์เทิร์นแอร์ไลน์” ซึ่งวันที่ 2 มิ.ย.67 ทัพช้างศึกต้องบินจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เวลา 2.15 น. ไปถึงเสิ่นหยาง เวลา 8.40 น. โดยใช้เวลา 5.25 ชม. ซึ่งถือว่าเร็วที่สุด แต่หากเดินทางหลังจากวันที่ 2 มิ.ย.67 จะมีไฟท์บินที่ต้องแวะต่อเครื่อง ทำให้ใช้เวลานานกว่าเดิมเกือบ 2 เท่า
ส่วนวันเดินทางกลับ 7 มิ.ย.67 ไม่มีเที่ยวบินตรง จะต้องแวะต่อเครื่องอย่างเดียว เว้นแต่อยู่จีนอีก 1 วัน เพื่อรอไฟท์บินตรงวันที่ 8 มิ.ย.67 แต่ ไทย มีโปรแกรมเจอ สิงคโปร์ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 11 มิ.ย.67 ซึ่งจีนรู้ดีว่าการเดินทางไปกลับหลายชั่วโมงแบบนี้ รับรองว่านักเตะทีมชาติไทยเหนื่อยแน่นอน
ซึ่งนอกจากการเดินทางไกลแล้ว ยังเป็นการลดจำนวนกองเชียร์ไปในตัวอีกด้วย เพราะเมืองเสิ่นหยาง เดินทางยาก แถมคนไทยอาศัยอยู่ก็ไม่เยอะเท่ากับ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ ซึ่งน่าจะทำให้ปริมาณกองเชียร์ไทยลดลงไปอีก กลับกันจีนเลือกใช้สนาม เสิ่นหยาง เพราะมีความจุมากถึง 6 หมื่นที่นั่ง รองรับแฟนบอลได้มากกว่า เทียนจิน สนามที่ใช้แข่งขันในเกมชนะสิงคโปร์ 4-1 ที่มีความจุประมาณ 5.4 หมื่นที่นั่ง ซึ่งเกมชี้ชะตากับไทย หากได้กองเชียร์มาเชียร์เยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งกดดันทีมชาติไทยได้เป็นอย่างดี
และอีกหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบสำหรับจีนที่เลือกใช้สนามเสิ่นหยาง เพราะเป็นทำเลที่จีนจะเดินทางง่ายที่สุด สำหรับการแข่ง 2 นัด เพราะหลังจากที่จีนพบกับไทยแล้ว นัดต่อไปที่จะไปเยือนเกาหลีใต้ ใช้เวลาบินไปลงสนามบินอินชอน ที่กรุงโซลแค่ 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเป็นการย่นระยะทางไม่ให้นักเตะมีอาการเหนื่อยล้าได้อย่างดี
นอกจากนั้นแล้ว สนามแห่งนี้ยังถูกโฉลกกับทีมชาติจีนอีกด้วย โดยย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2544 (2001) จีน ลงเตะเอาชนะ โอมาน 1-0 ที่สนามกีฬาหวู่ลี่เหอ ภายในเมืองเสิ่นหยาง และผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2002 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ ทีมชาติไทยก็เคยมาแพ้จีน ที่เมืองนี้มาแล้ว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1989 ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก (1990 อิตาลี) จีน พบกับไทย ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม และต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น เสมอไม่ได้ แพ้ไม่ได้ สุดท้าย จีนก็เอาชนะไปได้ 2-0 ผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ โดยสถิติที่จีน ลงเล่นที่สนามแห่งนี้ 10 เกม ชนะ 9 เสมอ 1 และไม่แพ้เลย ถือว่าพวกเขาคงจะมั่นใจสุดๆ ในเกมนี้ ดังนั้น เมืองเสิ่นหยาง จึงกลายเป็นสถานที่ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับวงการฟุตบอลจีน
สำหรับสถานการณ์ในกลุ่มซี เกาหลีใต้ นำจ่าฝูงมี 10 คะแนนจาก 4 นัด แถมผลต่างประตูได้เสียบวก 11 ลูก ทำให้โอกาสเข้ารอบต่อไปค่อนข้างสดใส ตามด้วยจีน มี 7 คะแนน ประตูได้เสีย +1 และไทยเป็นอันดับ 3 มี 4 คะแนน แต่ประตูได้เสียติดลบ 2 ส่วนสิงคโปร์ รั้งบ๊วย มี 1 คะแนน โอกาสตกรอบทีมแรกสูงมากๆ
โดยเงื่อนไขทีมชาติไทยเข้ารอบมีดังนี้
– หาก ทีมชาติไทย ชนะจีน และชนะสิงคโปร์ โดยที่ทีมชาติจีน ไม่ชนะเกาหลีใต้ จะทำให้ ทีมชาติไทย เข้ารอบทันที
-หาก ทีมชาติไทย ชนะจีน และชนะสิงคโปร์ แต่ทีมชาติจีน ชนะ เกาหลีใต้ จะทำให้มีคะแนนเท่ากันที่ 10 คะแนน จากนี้ต้องมาวัดลูกได้เสียอีกครั้ง โดยปัจจุบัน ทีมชาติไทย ลูกได้เสีย -2 และ ทีมชาติจีน ลูกได้เสีย +1
-หาก ทีมชาติไทย เสมอจีน แต่ชนะสิงคโปร์ โดยที่ ทีมชาติจีน แพ้ เกาหลีใต้ จะทำให้มีคะแนนเท่ากันที่ 8 คะแนน จากนี้ต้องมาวัดลูกได้เสียอีกครั้ง โดยปัจจุบัน ทีมชาติไทย ลูกได้เสีย -2 และ ทีมชาติจีน ลูกได้เสีย +1
-หาก ทีมชาติไทย เสมอจีน และชนะสิงคโปร์ โดยที่ ทีมชาติจีน เสมอ เกาหลีใต้ จะทำให้ ทีมชาติจีน เข้ารอบทันที
-หาก ทีมชาติไทย แพ้จีน จะทำให้ ทีมชาติไทย ตกรอบทันทีโดยไม่ต้องลุ้นผลแข่งขันนัดสุดท้าย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews