กระทรวง อว.โดย บพข. จับมือเอกชน ประกาศความสำเร็จโครงการลดการปล่อยน้ำทิ้งจากอุตสาหกรรมอาหารทะเลสู่สาธารณะเป็นศูนย์ เพื่อเป็นโรงงานต้นแบบฝีมือคนไทย พร้อมต่อยอดการเป็นศูนย์การเรียนรู้แบบยั่งยืน
สมุทรสาคร – 28 มีนาคม 2567 บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ผนึกกำลัง หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวความสำเร็จ โครงการลดการปล่อยน้ำทิ้งสู่สาธารณะเป็นศูนย์ (Zero Wastewater Discharge) ภายใต้โครงการวิจัย “การพัฒนาต้นแบบระบบบำบัดน้ำทิ้งเป็นศูนย์ เกิดศูนย์การเรียนรู้ระบบการบำบัดน้ำเพื่อการหมุนเวียนน้ำทิ้งนำกลับมาใช้ประโยชน์การทิ้งน้ำเป็นศูนย์ในอุตสาหกรรมอาหาร” โดยไทยยูเนี่ยนเป็นโรงงานต้นแบบในการติดตั้งและดำเนินการโดยวิศวกรคนไทยที่สร้างมาตรฐานด้านการบริหารจัดการน้ำทิ้งในระบบได้สำเร็จเป็นรูปธรรม 100 เปอร์เซ็นต์
น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า โครงการลดการปล่อยน้ำทิ้งสู่สาธารณะเป็นศูนย์ ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของกระทรวง อว. โดยรัฐมนตรีศุภมาส อิศรภักดี ที่มุ่งขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโดยเน้นประเด็นสำคัญของประเทศ ได้แก่ การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Go Green) ความพอเพียงและความยั่งยืน (Sustainability) ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) พลังงานสะอาด เศรษฐกิจชีวภาพ และตามนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDG (Sustainable Development Goals) ในปี 2573
ด้าน รศ. ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการ บพข. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการให้ทุนผ่านแผนงานเศรษฐกิจหมุนเวียน (CE) บพข. ซึ่งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเทศไทยให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่เติบโตขึ้นจากการใช้นวัตกรรมการผลิตที่สะอาด ลดการใช้ทรัพยากร เพิ่มการหมุนเวียนวัสดุ และเพิ่มคุณค่าการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการนำนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างที่ดีของรูปแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในประเทศ ให้ผู้ประกอบการทุกระดับ
โดย “ศูนย์เรียนรู้ระบบการบำบัดน้ำเพื่อการหมุนเวียนน้ำทิ้งนำกลับมาใช้ประโยชน์ การทิ้งน้ำเป็นศูนย์” ที่กำลังจะเปิดให้บริการ จะช่วยการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ตรงตามเจตนารมณ์และภารกิจของ บพข. ในการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงสร้างความร่วมมือ และร่วมลงทุนในการวิจัยและนวัตกรรมให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
“ในปีงบประมาณ 2567 นี้ บพข. มีได้มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมด้านความยั่งยืน ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนในแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน และแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการนําขยะหรือของเสียจากภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นวัตถุดิบทดแทนหรือนํามาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีการพัฒนาพลังงานทดแทน การผลิตพลังงานสะอาด เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อย GHG 30 Mt CO2 e , เพิ่ม 3% ของ GDP และลดการใช้ทรัพยากร 1 ใน 3 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศไทยภายในปี 2593 ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมภายในประเทศ
นอกจากนี้ บพข.ยังมีการขับเคลื่อนในแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ อย่างเช่น การส่งเสริมให้มีการศึกษาและผลิตพลังงานไฮโดรเจนภายในประเทศ เช่น Turquoise Hydrogen และ Green Hydrogen และพร้อมผลักดันให้เกิดการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับไฮโดรเจนของไทยด้วย รวมไปถึงการพัฒนาเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) จากวัตถุดิบอื่น ๆ เช่น น้ำมันพืช, สบู่ดำ, แอลกอฮอลล์ และจะผลักดันให้มีการสร้างศูนย์การวิเคราะห์ทดสอบมาตรฐาน และการทดสอบการใช้งานจริงในอากาศยานต่อไปในอนาคต
สำหรับโครงการ TU Zero Discharge ที่ บพข. ให้ทุนไป ไม่เพียงเป็นการพัฒนาต้นแบบระบบบำบัดน้ำทิ้งในอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำในปริมาณมาก ให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อช่วยลดการปล่อยน้ำทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างศูนย์การเรียนรู้ที่มี case study จริง เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีนี้ไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ และผู้ประกอบการ SME ที่มีการใช้น้ำเป็นปริมาณมาก เพื่อทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแลดล้อม และที่สำคัญช่วยลดต้นทุนในการใช้น้ำในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยต่อไป
รศ. ดร.ธงชัย ยังกล่าวด้วยว่า ประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากโครงการดังกล่าวชัดเจน คือเรื่องของการพัฒนาคนให้มีความเข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและเราสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะเป็นการมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมตลอดการพัฒนาเทคโนโลยีได้เองทำให้ประเทศสามารถเพิ่งพาตนเองได้ การเติบโตก็จะเติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืน ดังนั้นจะเห็นว่าการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ได้ไกล และสามารถทำให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ ภายใต้โครงการ Zero Discharge พร้อมระบุ นอกจากบริษัทไทยยูเนี่ยนแล้ว ยังมีอีกหลายโครงการที่ บพข.เข้าไปมีส่วนช่วยและสนับสนุน เช่น การปลดปล่อยของเสียเสียพวกน้ำนมต่างๆ บพข.ก็เข้าไปดูเรื่องการบริหารจัดการเพื่อแปลงสิ่งที่เป็นของเสียต่างๅ ใหัเป็นมูลค่าเพิ่ม พร้อมย้ำว่างานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆ บพข. สามารถวิจัยพัฒนาเองได้ แต่สิ่งสำคัญคือการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน
ขณะที่ นายสุทธิเดช อมรเกษมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจปลา บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณ บพข. ที่เห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนทุนตั้งต้นวิจัยและพัฒนาแก่ไทยยูเนี่ยน เพื่อนำมาต่อยอดนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนครั้งสำคัญนี้ได้สำเร็จ โดยโครงการนี้ใช้เม็ดเงินลงทุนวิจัยและพัฒนารวม 12 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินทุนตั้งต้นจาก บพข. 3.6 ล้านบาท และ ไทยยูเนี่ยน 8.4 ล้านบาท โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange? 2030 หนึ่งในพันธกิจหลักคือการมุ่งสร้างกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ ด้วยการปรับปรุงระบบภายในโรงงานเพื่อลดการปล่อยน้ำทิ้งเป็นศูนย์ ลดของเสียฝังกลบเป็นศูนย์ และลดการสูญเสียอาหารเป็นศูนย์ ณ โรงงานหลักของไทยยูเนี่ยน 5 แห่ง ให้สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573
“ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือด้านทุนวิจัย ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมที่มีคุณค่าจาก อว. บพข. และมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงความทุ่มเทของทีมงานในการออกแบบระบบบำบัดน้ำทิ้งในอุตสาหกรรมอาหารทะเลให้ได้น้ำสะอาดที่สามารถนำกลับมาหมุนเวียนในระบบได้ใหม่
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ลดการใช้ทรัพยากร เพิ่มการหมุนเวียน และเพิ่มคุณค่าการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเรายินดีให้การสนับสนุน บพข. อย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนเพื่อโลกของเรา” นายสุทธิเดช กล่าว
สำหรับแนวทางการดำเนินงานระบบบำบัดน้ำทิ้งให้เป็นศูนย์ของไทยยูเนี่ยนคือการใช้ระบบบริหารจัดการที่ต้นทางทั้งในส่วนวิศวกรรมและกระบวนการผลิตพร้อมปรับปรุงคุณภาพน้ำให้เทียบเท่าและใช้แทนน้ำประปาได้ เริ่มตั้งแต่การดูแลให้เกิดของเสียน้อยที่สุดก่อนนำมาบำบัด ด้วยการแยกเลือดปลาและน้ำนึ่งปลาจนสามารถลดไขมันและเลือดปลาที่ปะปนมาในน้ำทิ้งให้น้อยลงได้ และใช้การกรองโดยระบบ Ultra Filtration (UF) จากนั้นนำไปผ่านระบบ Reverse Osmosis (RO) เพื่อให้ได้น้ำสะอาดกลับออกมาเป็นน้ำใช้ในระบบทำความเย็นของโรงงานที่ต้องการคุณภาพน้ำสะอาดที่มากกว่าน้ำทั่วไป ส่วนน้ำทิ้งจากกระบวนการ RO ที่ยังมีคุณภาพน้ำที่ดีจะถูกนำไปล้างพื้น ทำความสะอาดรถบรรทุกหรือล้อรถบรรทุก โดยน้ำที่ถูกนำไปใช้ทำความสะอาดเสร็จแล้วจะถูกหมุนเวียนกลับเข้าระบบ UF และ RO ไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เหลือทิ้งออกสู่ภายนอก
โครงการนำร่อง Zero Wastewater Discharge ของไทยยูเนี่ยน ตั้งอยู่ ณ โรงงานไทยยูเนี่ยน สำนักงานใหญ่ จังหวัดสมุทรสาคร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 155,000 ตารางเมตร เริ่มทดลองระบบมาตั้งแต่ปลายปี 2566 โดยสามารถบริหารจัดการน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตจากวันละ 7 ล้านลิตร ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนใช้น้ำเพียงวันละ 4 ล้านลิตรเท่านั้น ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ถึงปีละประมาณ 27.8 ล้านบาท
ด้าน นายอดัม เบรนนัน ผู้อำนวยการกลุ่มด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการ Zero Wastewater Discharge ไม่เพียงแต่จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืนด้วยระบบปฏิบัติการของเราเอง แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและแนวทางปฏิบัติของอุตสาหกรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมสามารถดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วยได้ โดยโครงการนี้นับเป็นความสำเร็จของไทยยูเนี่ยนที่นำเอานวัตกรรม พันธกิจ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนมาสร้างสิ่งที่ดีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อดูแลผู้คน ดูแลโลก และมหาสมุทร” นายอดัม กล่าว
สำหรับความร่วมมือที่ผ่านมาระหว่าง บพข. และไทยยูเนี่ยน ได้แก่ โครงการความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่ม และสารสำคัญเชิงหน้าที่มูลค่าสูงจากน้ำมันปลาทูน่า กว่า 4 โครงการ ที่ประสบความสำเร็จเตรียมออกสู่ตลาด และยังมีโครงการแพลตฟอร์มเพื่อการผลิตและวิเคราะห์เปปไทด์ออกฤทธิ์ทางชีวภาพในผลิตภัณฑ์อาหาร และอาหารเสริมสัตว์
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews