Home
|
คลิปข่าวต้นชั่วโมง

ข่าวต้นชั่วโมง 18.00 น.

สธ.ปรับแผนคุมสถานการณ์โควิด ในกรุงเทพ พร้อม ยกระดับ 4 มาตรการใหญ่

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงแนวทางการควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ว่าการระบาดครั้งนี้ จะเห็นตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหลักพันระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ของโรค การระบาดยังอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัด ก็เป็นผู้ที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ทำให้เกิดการระบาดขึ้น

ทั้งนี้ สธ. ไม่มีอำนาจโดยตรงในการดูแลในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ด้วยความเป็นเมืองใหญ่ มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก สธ.จึงเข้ามาช่วยเหลือดูแลตั้งแต่การควบคุมโรค การบริหารจัดการเตียง และให้นโยบายวัคซีนโควิด-19 เพื่อควบคุมโรคให้เร็วที่สุดและช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยให้เร็วที่สุด โดยกรมควบคุมโรค ได้เสนอมาตรการปรับวิธีการควบคุมโรคให้เหมาะสม เพื่อลดปริมาณผู้ติดเชื้อและให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ดังนี้

1.ค้นหาผู้ติดเชื้อใหม่ ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมโรคที่จะใช้ในกรุงเทพฯ ภายใน 2-3 สัปดาห์ของเดือนนี้ เพื่อให้จำนวนผู้ป่วยลดลง

2.การจัดการเตียง ขณะนี้มีมาตรการในการรองรับผู้เจ็บป่วย มีการดูแลที่บ้านที่มีระบบติดตามรักษา และเมื่อมีอาการมากขึ้นก็จะส่งต่อไปรักษา

3.มาตรการวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข ปรับนโยบายวัคซีน

โดยประการที่หนึ่ง สธ. เตรียมพร้อมจัดวัคซีนบูสเตอร์โดส ให้แก่บุคลากรด่านหน้าซึ่งต้องสอดคล้องกับสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา โดยการใช้วัคซีนจะต้องเป็นไปตามข้อมูลวิชากาแต่ต้องให้ทันเวลา ประการที่สอง การให้วัคซีนแก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่ม เป็นอันดับแรกโดยต้องให้คนกลุ่มนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของวัคซีนที่ได้มาในเดือนนี้ เพื่อลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิต เพราะข้อมูลพบว่า 2 กลุ่มนี้มีความเสี่ยงมากที่สุด 4.มาตรการสังคม ซึ่งจะเป็นการควบคุมโรคที่จะใช้ในกรุงเทพฯ โดยทันที เพื่อพยายามควบคุมโรค ให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อลง ทั้งนี้ มีการใช้มาตรการHome isolation ซึ่งจะมีระบบดูแลรักษาผู้ป่วย เราจะไม่ทอดทิ้งผู้ป่วย แต่หากมีอาการมากขึ้นก็จะส่งต่อตามระบบต่อไป

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube