ศบค.ยันผู้ป่วยใหม่ในไทย ยังเป็นสายพันธุ์เดลต้า เฝ้าระวังคลัสเตอร์ ร้านอาหาร ห่วงเทศกาลหยุดยาว เร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ รองผู้อำนวยการกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์โอมิครอนแพร่กระจายไปมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกและมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วใน 3 ประเทศหลัก คือ สหราชอาณาจักร, เดนมาร์ก และนอร์เวย์ ขณะสหรัฐอเมริกา มีการแพร่กระจายของโอมิครอนแล้วกว่า 35 รัฐ สำหรับประเทศไทย ยังคงมีมาตรการกำจัดการเดินทางของผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจาก 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงจากประเทศแอฟริกา พบติดเชื้อ 11 ราย โดย 3 ใน 11 รายอยู่ในระหว่างการยืนยันจากการตรวจถอดรหัสพันธุกรรม โดยสายพันธุ์โควิดในประเทศไทยขณะนี้ 99.58% ยังคงเป็นสายพันธุ์เดลต้า มีโอมิครอนเพียง 0.23% และอัลฟา คิดเป็น 0.17%
สำหรับ การรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงเดือนพ.ย.มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทั้งหมด 133,061 คน ในขณะที่เดือนธ.ค.ผ่านมาสองสัปดาห์มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 103,263 คน ซึ่งทำให้เห็นว่ามีปริมาณที่เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นระบบ Test and go อีก 15% เป็นกลุ่มที่เข้ามาในรูปแบบ Sandbox และที่เหลือเข้ามาในรูปแบบระบบกักตัว
นอกจากนี้ ยังคงพบคลัสเตอร์ร้านอาหาร ในกรุงเทพมหานครและสุราษฎร์ธานี ศบค.จึงมีความห่วงใย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการติดเชื้อที่เป็นกลุ่มก้อน อาจจะพบมากขึ้นในช่วงที่มีเทศกาลหยุดยาว กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังมากขึ้น คือ กลุ่มที่มีการติดเชื้อในตลาดและร้านอาหาร ที่มีการรายงานอย่างต่อเนื่องเป็นร้านอาหารประเภทหมูกระทะ ซึ่งอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงจากการที่มีการรับประทานจากกระทะเดียวกันและใช้เวลานานทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
สำหรับผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้ว ขณะนี้มติที่ประชุมได้มีการอนุมัติให้เข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้น เนื่องด้วยว่าผู้ที่ฉีดไปก่อนหน้านี้แล้วภูมิคุ้มกันน่าจะลดลงและมีสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อกลายพันธุ์มากขึ้น โดยระยะห่างของเข็มที่สามห่างจากเข็มที่สองตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป และผู้ที่ได้รับวัคซีนสูตรไขว้ครบไปก่อนหน้านี้แล้ว สามารถกระตุ้นด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปหลังฉีดเข็มที่สองเช่นเดียวกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news