ทุนไม่ทนโควิดไทยติดไม่หาย-ย้ายฐานหนี
ทุนไม่ทนโควิดไทยติดไม่หาย-ย้ายฐานหนี
ถึงเวลานี้ประเทศไทยควรตื่นและเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว ว่าไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจและสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ เพราะเวลานี้นอกจากการลงทุนใหม่จะไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจสัญญาณการย้ายฐานการผลิตสินค้าออกจากประเทศไทยไปประเทศเพื่อนบ้านมีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น และภาคเอกชนมองเห็นสัญญาณดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว
โดยนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า มีสัญญาณการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติออกจากประเทศไทยจริง โดยสัญญาณดังกล่าวภาคเอกชนรู้ดีและเข้าใจว่าเกิดจากปัจจัยและเงื่อนไขหลายประการที่นักลงทุนต่างชาติจำเป็นที่จะต้องมีการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย
โดยช่วงก่อนหน้านี้ปัจจัยที่สำคัญ คือค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่ากว่าหลายประเทศในภูมิภาคมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในขณะที่ประเทศคู่แข่งของไทยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง นอกจากนี้ยังมีการจำกัดของแรงงาน โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจาก สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ทำให้ไม่สามารถนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเพิ่มเติมเพื่อขยายกำลังการผลิตได้ แรงงานในระบบลดลงจากช่วงล็อกดาวน์เพราะมีแรงงานต่างด้าวบางส่วนกลับประเทศไปและไม่กลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย ซึ่งเวลานี้กำลังแรงงานของประเทศไทยยังคงขาดแคลนอยู่มากกว่า 5 แสนคน
และไม่หมดเพียงแค่นั้นยังมีปัจจัยระยะยาวที่กำลังบั่นทอนศักยภาพของประเทศไทย คือแต้มต่อที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับหากไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่นเวียดนาม ซึ่งมีปัจจัยเอื้ออำนวยมากกว่าและน่าสนใจกว่า ทั้งการส่งเสริมการลงทุน และได้มีการพัฒนาด้านกฎหมายทางธุรกิจให้มีความทันสมัย สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศในทุกรูปแบบ ทำให้ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้ดี โดยกฎหมายของเวียดนามนั้นพร้อมพัฒนาเป็นมาตรฐานโลกไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ ซึ่งตรงกับความต้องการของนักลงทุนที่ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการลงทุนแล้ว โดยมองปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน,แรงงาน สามารถพัฒนาได้ แต่กฎหมายรวมถึงข้อระเบียบต่างๆจากรัฐบาลกลางไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงและยังกรอบการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ที่มีมากกว่าประเทศไทย ซึ่งผู้ลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากการลดภาษีภายใต้กรอบต่างๆได้มากกว่า
ภาคเอกชนจึงอยากเห็นรัฐบาลเดินหน้าเจรจาการค้าในกรอบต่างๆที่ยังคั่งค้างให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรักษาศักยภาพของประเทศไทยไว้ ไม่ว่าจะเป็นกรอบการเจรจา FTA กับหลายตามแผนของกระทรวงพาณิชย์ การเจรจา CPTPP ที่จะต้องหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่การเอาปัญหาเป็นตัวตั้งและต้องตัดสินแพ้ชนะ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะมีแต่ทางตัน และประเทศจะเป็นฝ่ายแพ้
และที่ผ่านมานักวิชาการจากหลายสำนักออกมาระบุ ภายในปี 2050 เศรษฐกิจของเวียดนามจะขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 20 ของโลกจากปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 32 ในขณะที่ประเทศไทยอันดับจะลดลงจากปัจจุบันอันดับ 20 ไปอยู่ที่อันดับที่ 25 และจีนยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 1 รองลงมาคือสหรัฐฯ และอินเดีย
เห็นแบบนี้แล้ว รัฐบาลไทยจะตัดสินใจเดินหน้าอย่างไร เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ควรต้องเร่งทำก่อนที่ประเทศไทยจะไม่สามารถดึงเศรษฐกิจที่กำลังซึมลึกให้ฟื้นตัวได้ ท่ามกลางวิกฤต โควิด-19 ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ไม่ต่างกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news