“ศึกใน”พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ที่“คู่ขนาน”ไปกับความเคลื่อนไหวจาก“ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ” และ “บ้านป่ารอยต่อฯ” มีภาพเร่งกระชัน
คล้ายเหมือนจะมีการ “ปิดเกม”ปลดรอบ2 “ผู้กองนัส”จากตำแหน่ง “เลขาธิการพรรค พปชร.” ในวีคนี้ในจังหวะมีการนัดประชุมพรรคพรุ่งนี้(28ต.ค.) โดยอ้างเหตุประทุมาจากเกิดปัญหาความแตกแยกในพรรคที่มาจาก“โพลลับ”สำรวจเรตติ้ง ส.ส.กรุงฯและส.ส.ใต้ ในจังหวะนับถอยหลังอาการ “เสียวสันหลัง”กำเริบของ “นายกฯลุงตู่”
หากรอจนถึงวันเปิดสภาวันที่ 1 พ.ย.ที่ตรงกับวัน “เปิดประเทศ”อันมีคิว กฎหมายสำคัญที่หากไม่ผ่านจะเกิด “อุบัติเหตุการเมือง” กับนายกฯ จะเข้าสู่การพิจารณา ที่หากไม่รีบรักษาอาการ “นายกฯลุงตู่”จะอยู่ในอาการ “ไม่สบายตัว”แน่ ยิ่งมี “สัญญาน”ที่ถูกส่งผ่านจากคนที่เคยประกาศว่า “เจ็บ จำนาน”เมื่อครั้งถูกปลดฟ้าผ่าหลังจากตำแหน่งรัฐมนตรี หลัง“ศึกซักฟอก”ทั้งที่คนที่โดน “ยำใหญ่”เมนู “โควิดเศรษฐกิจ”จนเก็บทรงแทบไม่อยู่คือ “นายกฯลุงตู่”
ที่มาหนนี้ห้วง 2 วันที่ผ่านมา ทำท่าเหมือนจะมีทิศทางว่า “ผู้กองนัส”จะถูกจัดการตั้งแต่เมื่อวาน(26ต.ค.)อย่างที่สื่อพาดหัว หลังจาก “นายกฯลุงตู่”มีการเรียก “7รัฐมนตรี”ที่เป็น “กรรมการบริหารพรรค พปชร.”เข้าไปพูดคุย2รอบ ทั้งที่ตึกไทย ทำเนียบฯ และ ที่บ้านป่ารอยต่อ ที่มีรายงานอ้างว่า 3ป. ก็อยู่ครบ เมื่อวันจันทร์(25ต.ค.) ที่ก็มีรายงานข่าววันนั้นเช่นกันว่ามีความพยามเข้าพบ “หัวหน้าป้อม”หลังจากนั้นของ “ผู้กองนัส”
กระทั่งเมื่อวาน(26ต.ค.) ก็มีรายงานการได้เข้าพบ และมีข่าวการแจ้งไปยังกรรมการบริหารพรรค ให้เซ็นต์ใบลาออก เพื่อเดินเกมไปสู่การปลด “เลขาธิการพรรค” ก่อนจะตามมาด้วยการเปิดชื่อกรรมการบริหารพรรค 8 คน ฝั่งกลุ่มสามมิตรของ”สุริยะ,สมศักดิ์,อนุชา กลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น ว่าได้เซ็นชื่อลาออกแล้วแม้ “ชัยวุฒิ”ที่มีข่าวว่าเซ็นต์ด้วยจะออกมาบอกว่ายังไม่มีการเซ็นต์แต่ก็เห็นตามกันว่า “ผู้กองนัส”เป็นปัญหาควรถูกจัดการ
ในขณะที่ฝั่ง “ผู้กองนัส”ปรากฏว่าช่วงเช้าวันนี้ นอกจากที่ “วิรัตน์ รัตนเศรษฐ”ออกมายืนยัน ว่ายังไม่มี กรรมการบริหารพรรค คนใด เซ็นต์ใบลาออก กับฝ่ายบริหารของพรรค แล้ว ปรากฎมีการทำหนังสือเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าภาค ที่ “พล.อ.ประวิตร” ลงนามนัดประชุมคณะกรรมการบริหารพร้อมทั้งหัวหน้าภาคของพรรคฯ พรุ่งนี้ (28 ต.ค.) เวลา12.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 5 ที่ทำการพรรค พปชร. อาคารรัชดาวัน ตามที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ส.ส.พะเยา ในฐานะเลขาธิการพรรคได้ทำหนังสือให้ลงนาม
โดยใช้คำนำหน้า “นายธรรมนัส พรหมเผ่า” เหมือนครั้ง ตอนทำหนังสือลาออกจากรมช.เกษตรฯ ที่ไม่ใช้ยศ “ร้อยเอก” โดย การเรียกประชุม นี้ให้เหตุผลว่า เพราะจะมีการเปิดสภา 1 พย. นี้ และ เพื่อให้ให้หัวหน้าภาคได้รายงานความคืบหน้าในการขับเคลื่อนพรรคในพื้นที่ จึงเห็นควรให้หัวหน้าภาคทุกภาคเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในครั้งนี้ด้วย ซึ่งมีรายงานว่า พลเอกประวิตร จะให้ “ผู้กองนัส” ชี้แจง ทุกข้อกล่าวหาที่มีแกนนำพรรค รายงานกับ นายกฯ และเคลียร์ปัญหาการปล่อยข่าว สร้างความขัดแย้งต่างๆ
ทำให้การประชุมพรุ่งนี้(28ต.ค.)ถูกจับตาว่า ไพ่จะออกหน้าไหน “พี่ใหญ่” จะเลือก ทำตามแรงกดดัน ของ “น้องเล็ก” และแกนนำพรรคพปชร.-กลุ่มสามมิตรหรือว่า จะย้ำคำสัญญา เรื่อง บริหาร เรื่องในรัฐบาล ครม. เป็นอำนาจหน้าที่ นายกฯ แต่ เรื่องในพรรค “หัวหน้าป้อม” ขอจัดการเองคนเดียว การจะเลือกใช้ใคร ทำงาน ที่ไม่ว่า “หัวหน้าป้อม”เลือกทางไหนก็ยังไม่น่าจะจบ
โดยเฉพาะ หากว่า กก.บริหารพรรค พปชร. ลาออกไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จะเกิดอะไรต่อโดย เกินกึ่งหนึ่ง คือต้อง 14 คนจาก 26 คนที่มีการลาออกไม่ถึง 14 คน จะทำให้ กรรมการบริหารยังไม่สิ้นสุดทั้งคณะ หัวหน้าป้อม สามารถแต่งตั้งคนมาทำหน้าที่แทนจนกว่าจะมีการเลือกตั้งคนมาทดแทน ภายใน 90 วัน และคนที่เซ็นต์ออกแล้วก็มีผลไม่สามารถเข้ามาลงมติกับกรรมการบริหารที่เหลือได้ ที่หากเป็นเช่นนั้นก็เหลือทางเดียวคือ “หัวหน้าป้อม”ยอมลาออกเพื่อล้างไพ่ใหม่เพื่อ “น้องเล็ก”
แต่ที่อาจเป็นประเด็น “แทรกซ้อน”ให้ปมขัดแย้งระหว่าง”นายพล” “นายร้อย”บานปลายจนคนพปชร.เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า อย่างที่ “ชัยวุฒิ”รีบออกตัวว่า “นายกฯลุงตู่”ไม่ได้ “ครอบงำพรรคพปชร.”ตามที่ปรากฎทิศทางตั้งแต่หลังเรียก7รัฐมนตรี กรรมการบริหาร พปชร.พบที่ตึกไทย และมี “นักร้อง”ไปร้องกกต.วันนี้ ตามที่ “พี่โทนี่”ออกมากระซุ่นเมื่อคืนวาน(26ต.ค.)เทียบเคียง
ครั้งที่ “เรืองไกร”ไปยื่นยุบพรรคเพื่อไทยก่อนหน้าฐานให้ “พี่โทนี่”ครอบงำ ว่า ให้ลองไปดูว่าปฏิบัติการของ “นายกฯลุงตู่”ถือเป็น “ครอบงำพปชร.”หรือไม่ ที่หากไปพลิกดูกฎหมาย “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ห้ามทั้ง พรรค ไม่ให้คนนอกมาครอบงำ (มาตรา 28) และ ห้ามคนนอกมาครอบงำพรรค (มาตรา 29) ที่ในกรณีแรกมีโทษถึง ยุบพรรค กรณีที่สองโทษ จำคุก 5-10 ปี ปรับ หนึ่งแสนถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
ในจังหวะ เรื่อง“การบ้าน”ใกล้วัน “เปิดประเทศ”1พ.ย.64ที่ “นายกฯลุงตู่”เตรียมไว้เป็น “ไฮไลท์”ฝากผลงานเก็บแต้ม
ในด้านฝั่ง การเมือง ห้วงวันหยุดที่ผ่านมา ยังคงกระเพื่อมทั้งสองฝั่งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย หรือ พลังประชารัฐ กับการ จัดทัพการเมืองรับศึกเลือกตั้ง ล้อไปกับภาพการลงพื้นที่ของบรรดาหัวหน้าพรรคแกนนำและบรรดารัฐมนตรี ส.ส. ที่ยังผลให้เปิดมาวันนี้ “หัวหน้าป้อม”ต้องออกตัว
ปฏิเสธข่าวพัลวัล ว่า ยังไม่ได้สั่งให้ทำโพลล์ของพรรคพปชร. ประเมินคะแนนความนิยม ส.ส.ทุกเขตทั่วประเทศ “แต่คิดไว้ว่าจะทำ” เพราะว่ายังไม่มีการเลือกตั้ง คนไหนทำ ก็ไปถามคนนั้น เพราะตนไม่ได้เป็นคนทำ ไปเอามาจาก ใครเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ก็ไปถามคนที่เคลื่อนไหว ส่วนที่กระแสข่าวพุ่งโจมตีไปที่ “ผู้กองนัส” เลขาธิการพรรคเป็นคนทำ “หัวหน้าป้อม”แก้แทนว่า ไม่ได้ทำ ทำไม่ได้ ตนไม่ได้สั่งแล้วใครจะทำ เอาไว้ใกล้ๆก่อน แต่ส.ส.เก่าต้องได้ลง
โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีการจัดทำ “โพลลับ”เพื่อหยั่งวัดเรตติ้งของ ส.ส.และมีการโฟกัสเป้าไปที่พื้นที่กรุงเทพฯและภาคใต้ ที่ประเด็นดังกล่าวมีคนไปถาม “ผู้กองนัส”เมื่อวานซืน(23ต.ค.)ขณะกำลังลุยน้ำท่วมที่โคราชกับ “อ.แหม่ม”ที่เจ้าตัวยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นแนวคิดของ “บิ๊กป้อม” โดยโพลจะนำมาทำต้องมีมาตรฐาน และต้องเป็นสำนักโพลที่เป็นที่ยอมรับจากสังคม เป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมืองโดยจะทำเป็นการประเมินการทำงานทั้ง ส.ส. ผู้สมัครและว่าที่ผู้สมัครส.ส. เพื่อให้ได้รู้ว่าอนาคตพรรคพปชร.จะต้องปรับปรุงเรื่องใดบ้าง ถือเป็นการนำจุดอ่อนไปสู่การแก้ไข เพื่อให้พรรคเป็นสถาบันที่มีความเข้มแข็งต่อไป ตามที่หัวหน้าพรรคต้องการ ก่อนที่จะยืนยันในท่าทีเดิมที่ไม่บอกว่ายังหนุน “บิ๊กตู่”เป็นนายกฯโดยอ้างว่า พรรคเป็นสถาบันการเมือง หากจะทำอะไรจะต้องผ่านคณะกรรมการบริหารพรรคแล้วนำเสนอหัวหน้าพรรค ท้ายสุดก็ต้องฟังจากปากหัวหน้าพรรคโดยตรง ลูกพรรคไม่ควรไปพูด อีกทั้ง การทำโพลในพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติของการเมือง
เรียกว่าประเด็น “โพลลับ”ที่ว่านั้น ว่ากันว่า น่าจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมกับ “นายกฯลุงตู่”ที่คอการเมืองมองว่ายิ่งแสดงให้เห็นถึงอาการ “ขาลอย”กับการมีส.ส.สนับสนุนที่แต่เดิมถูกมองว่า ทั้ง ส.ส.กทม.และส.ส.ปักษ์ใต้ ของ พปชร.นั้นมาได้เพราะกระแส “นายกฯลุงตู่”ช่วงปี62ที่ชูกันว่า “เลือกสงบจบที่ลุง”ถึงขนาดที่ ส.ส.เมืองคอนฯอย่าง “สายัณห์ ยุติธรรม”ยังบอกว่า“คนใต้นิยมลุงตู่”และ”ลุงตู่ยังขายได้” เช่นเดียวกับเพื่อนตท.12ของนายกฯอย่าง “ผู้การชาติ”ที่ก่อนหน้านี้ออกมาเคลื่อนไหวเชื่อมโยง13ส.ส.ใต้ที่กำลังขยับเรียกร้องเก้าอี้ดนตรีไปถึง“พรรคปลัดฉิ่ง” หากแต่ผ่านมาได้2ปี”นายกฯลุงตู่”เจอเต็มๆกับเรื่อง “โควิด-เศรษฐกิจ”
ทำให้เรตติ้งวูบตามโพลสำรวจสำนักต่างๆที่ออกมาห้วง2เดือนที่ผ่านมา ที่กลายมาเป็นจุดลงตัวในจังหวะเกิดความขัดแย้งครั้ง “ศึกศักฟอก”ที่ตามมาด้วยความบานปลายจากการไม่จบและมีการปลด “ผู้กองนัส-อ.แหม่ม”จากเก้าอี้รัฐมนตรี ในขณะที่ “หัวหน้าป้อม”ยังคง “ผู้กองนัส”ไว้ที่ “แม่บ้านพรรคพปชร.”และรับบท “นำทัพเลือกตั้ง”ตามสัญญานธง กระทั่งมีข่าว การทำโพลวัดเรตติ้งส.ส.ดังกล่าว
เรียกว่าทุกจังหวะเคลื่อนขยับของ “ผู้กองนัส”แม้จะมีการปัดว่ายังไม่มีการสั่งจาก “หัวหน้าป้อม”แต่ในทางการเมืองหลายพรรคการเมืองก็ทำโพลสำรวจเพื่อมอนิเตอร์ความนิยมตามปกติ ทำให้มีรายงานงานว่าคนตึกไทยเองก็อึดอัดไม่น้อยกับบทบาทของฝ่ายการเมืองพรรคหลักที่ส่งผลโดยตรงแบบต้องการ”พิสูจน์ทราบ”เรตติ้งผู้นำ ที่บังเอิญสอดรับกับที่ “หัวหน้าป้อม”เองก็ไม่เคยบอกว่าจะเสนอชื่อ “คนอื่น”นอกจากชื่อ “น้องเล็ก”เพราะยังสามารถเสนอได้3ชื่อ
ทั้งหมดทำให้ภาพที่ออกมาวันนี้ กับการเรียก 5 ส. 1 ช.ประกอบด้วย“สุริยะ-สมศักดิ์-สันติ-สุชาติ-สุพัฒนพงษ์ และ ชัยวุฒิ”ให้เดินตาม “นายกฯบิ๊กตู่” ขึ้นไปตึกไทยคู่ฟ้า หลังเสร็จประชุม ครม.โดยยังทันได้เดินไปส่ง “บิ๊กป้อม”เหมือนเคย ถูกร่ำลือไปถึงข่าวว่าจะเกี่ยวข้องกับ การปรับครม.ที่จะเป็นการ “ดึงจังหวะ”ก่อนถึงวัน เปิดประชุมสภาฯต้นเดือน พ.ย.หลังวันเปิดประเทศ ที่หากยังปล่อย ครม.ฟันหลอ ถึงห้วงนั้นจะยิ่งปรับยาก เพราะมีปัจจัยการต่อรองที่อาจเกิดขึ้นในสภาฯ ไม่นับรวมทิศทางที่เริ่มมีการพูดถึงโอกาสของการเกิด “อุบัติเหตุการเมือง”ที่อาจเกิดขึ้นในการโหวต ที่จะนำมาสู่การต้อง “รับผิดชอบ”ของนายกฯในช่วงเวลานั้นอันเชื่อมไปถึงอาการ “ออกตัวแต่หัววัน”ลงพื้นที่ของทุกพรรคการเมืองขณะนี้
เข้าสู่โหมดการเมือง แบบ“ประคองตัว” เก็บแต้มผ่า “สัญญาน”จากบรรดาบิ๊ก ๆ รวมถึง “นายกฯลุงตู่”ที่ให้ใครต่อใครเพลาๆการเมืองหันมาปั่นงานโชว์
ทั้ง “ศูนย์อำนาจ3ป.”ไล่ตั้งแต่ “พี่ใหญ่-พี่รอง”ยัน”น้องเล็ก”ที่กำลังฝึกลงพื้นที่จริงจังแบบ “นักการเมือง”อย่างที่ หัวหน้าพรรคทั้งฝ่ายรัฐบาล และ ฝ่ายค้าน ในจังหวะ “น้ำท่วม” ล้อไปกับ “สัญญานปี่กลองเลือกตั้ง”แม้จะยังยืนยันจากปาก “นายกฯลุงตู่”ทุกครั้งว่า ไม่เคยคิด “ยุบสภา”หรือที่คอการเมืองสมัยก่อนเรียก “ปิดสภาฯ”ที่มาจากจากการตัดสินใจของนายกฯจากทั้งตัดสินใจเองและจาก “อุบัติเหตุ”ที่เกิดจากกฎหมายสำคัญเช่น พระราชกำหนดการเงิน ความมั่นคง ไม่ผ่านการโหวตในสภาฯในสมัยประชุมสภาสามัญครั้งที่2 ระหว่าง 1พ.ย.64ถึง 28 ก.พ.65 ที่ล่าสุด เริ่มมีการเตรียมพร้อมประชุมของวิปสองฝ่าย
โดยมีรายงานวันเดียวกันกับที่ “นายกฯลุงตู่”จะเปิดประเทศแบบ “วัดดวง” 1พ.ย. ด้านฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ รัฐสภา “นายหัวชวน”ประธานรัฐสภาก็นัดเชิญตัวแทน วิปรัฐบาลและฝ่ายค้าน หารือถึงการเปิดสมัยประชุม วันที่ 3 – 5 พ.ย.เบื้องต้นจะนัดประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 9 พ.ย. เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่ค้างในวาระ ที่ว่ากันว่าน่าจะหมายรวมไปถึงบรรดากฎหมายสำคัญที่รัฐบาลมีการประกาศเป็นพระราชกำหนดสำคัญ ที่จะต้องนำเข้าพิจารณาเพื่อผ่านสภารวมอยู่ด้วย
เรียกว่าห้วงเวลาอีกราว10จากนี้ น่าจะเป็นจังหวะ พอให้มีการเคลียร์สิ่งที่คั่งค้างของ “ศูนย์อำนาจ” โดยเฉพาะปมที่จะกลับมาเป็น “เอฟเฟ็กต์”เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯที่ต้องใช้บริการเสียงของ ส.ส.ในการโหวตกฎหมายสำคัญ ที่ทำให้เป็นปัจจัยที่สร้างความลำบากใจกับ “นายกฯลุงตู่”กับแพลน ที่มีการวางจังหวะก้าวการเมืองในแบบที่ก็ยังไม่มีใครอยากให้ “ยุบสภา”ที่มีการ “ปรับครม.”พอที่จะประวิงสถานการณ์โดยการ เขย่าจัดเก้าอี้ดนตรีตามโควตา ที่กลายเป็น “ครม.ฟันหลอ”มานับแต่ที่มีการปลด “ผู้กองนัส-อ.แหม่ม”แต่ก็ยังไม่อาจปรับได้แบบชิลๆเช่นเคย เพราะต้องรับฟัง “ฝ่ายการเมือง”ของ “หัวหน้าป้อม”ที่รับปากหลายกลุ่มก๊วนมาเช่นกันโดยเฉพาะกำลังมีการพูดถึงการดันหลัง“ไผ่ ลิกก์”มือขวาของ “ผู้กองนัส”ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ที่ยังเห็นต่างกัน อันถือเป็นความลำบากใจของ “นายกฯลุงตู่” แม้ก่อนหน้าจะมีข่าวการเคลียร์ใจที่บ้านป่ารอยต่อของใครต่อใคร ที่ยิ่งทอดเวลาออกไปใกล้วันเปิดสภาฯมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อปฏิกริยาตกกระทบหากผลออกมาเป็นความไม่พอใจของฝ่ายการเมือง ที่ย่อมมาสะท้อนผ่านในเวทีสภา
ที่ทั้งหมดยังไม่นับรวม ผลกระทบ ที่กำลังสะสมเป็น ความไม่พอใจจากภายในสู่ภายนอกของ พรรคพปชร. และพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น เคสล่าสุด กรณีคน พรรคภูมิใจไทยของ “หมอหนู” ไม่พอใจการตั้ง “บิ๊กเล็ก”เป็น ผอ.ศบค.ส่วนหน้า หลังก่อนหน้านี้ คนประชาธิปัตย์ ก็ไม่พอใจ กรณี ยก4 กรม ในกระทรวงเกษตรให้ “บิ๊กป้อม”ดู ไม่นับรวมเคสที่เกี่ยวข้องกับ “ชนักปักหลัง”คดีการเมืองต่างๆที่เปรียบเทียบกับ คนใกล้ชิดศูนย์อำนาจที่มักพ้นชนักแต่ “นักการเมือง”ยังติดคาเพื่อเป็นข้อต่อรอง ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ ฝ่ายนักการเมือง เริ่มมีอาการแบบ พร้อมไปในทิศทางเดียวกับ “นักการเมือง”ที่ถูกมองว่าเป็น “คู่ปรับ”กับ “นายกฯลุงตู่” ในการที่ก็ลุ้นเช่นกันกับทิศทาง “อุบัติเหตุการเมือง” รวมถึงลุ้น ว่า “หัวหน้าป้อม”จะเสนอ 3 ชื่อนายกฯหรือไมม่ ที่อาจส่งผลให้ใครบางคนจะไม่ได้ไปต่อ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news