การเปิดประเทศ 1 พ.ย. ถือเป็นความหวังครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจไทย เพราะนอกจากจะเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะดีขึ้นแล้ว รัฐบาลก็มุ่งหวังว่า การเปิดประเทศครั้งนี้จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวสามารถที่จะพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้ หลังบอบช้ำจากวิกฤตโควิด-19
แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนจำนวนไม่น้อย ก็มีความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจจะเร่งขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากการเปิดประเทศ รวมถึงการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร
สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข “นายสาธิต ปิตุเตชะ” ถึงมุมมองด้านสาธารณสุขกับเศรษฐกิจปากท้อง ในวันที่ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยรัฐมนตรีช่วยฯสาธิต ระบุว่า การเปิดประเทศจะเป็นปัจจัยหนุนต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมากับอากาศยาน ย่อมมีความปลอดภัย เนื่องจากมีกฎระเบียบ มีมาตรการที่เข้มข้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังเปิดประเทศ จะไม่หนักเท่ากับก่อนหน้านี้ ที่มียอดผู้ป่วยรายใหม่วันละ 2 หมื่นคน เนื่องจากที่ผ่านมาได้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปเป็นจำนวนมาก
“เราก็จำเป็นต้องสร้างมาตรการให้ ปลอดภัยให้หลุดรอดให้ได้น้อยที่สุดจากการควบคุมโรค การควบคุมโรคของเรา ก็ต้องมีแผนทั้งกรณีปกติ แล้วก็แผนถ้ามันมีหลุดมา แต่อย่างไรก็ตามเรายังมีความมั่นใจว่าเครื่องมือวัคซีนในการฉีดวัคซีนของเรา ที่ฉีดไปได้จำนวน Corporate ที่มันค่อนข้างพอสมควร ถึงแม้จะมีกลับมาใหม่อีกรอบหนึ่ง เราก็ยังมั่นใจมาคงไม่หนักเหมือนตอนวันละ 20,000 คนเพราะฉะนั้นเราก็ยังมีแผนรองรับได้ ถ้าถามว่าเราจะเดินหน้าในเชิงสาธารณสุขกับเศรษฐกิจยังไง ก็เราจะเดินหน้าเปิดกิจการและกิจกรรมแต่ว่าภายใต้มาตรการที่เข้ม แล้วก็ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่ต่อมีวินัย และก็ต้องซื่อสัตย์กับมาตรการและก็ประชาชนต้องเข้าใจในมาตรการ ที่ต้องร่วมมือกัน ไม่ให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดได้”
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยฯสาธิต ยังได้กล่าวถึงปัจจัยความสำเร็จของการเปิดประเทศที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจและสาธารณสุข นั่นคือ การมีวินัย
“ถ้าเดินแบบนี้แล้วเปิดไปได้ มันก็ค่อยๆ เป็นสเตป ค่อยๆเปิด ค่อยๆฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมา แต่ถ้าเราเปิดแล้วปิดอีกครั้ง ความเชื่อมั่นก็จะหมดไป คือจริงๆแล้วกังวลว่าเมื่อเราเปิด ถ้าเราร่วมมือกัน แล้วเราฉีดวัคซีนไปด้วย เราควบคุมไปด้วย แล้วก็เปิดธุรกิจไปด้วยถ้าทำคู่ขนานแบบนี้แบบมีวินัย จะประสบความสำเร็จในที่สุด แต่ว่าไม่มีวินัยมากเท่าที่ตามมาตรการ ความกังวลก็คือ ถ้าเกิดเปิดมาแล้วเกิดเคสเกิดขึ้นใหม่ ถึงแม้จะไม่หนัก แต่ว่าถ้ามาปิดกิจการมันก็จะกระทบกับความเชื่อมั่น เพราะฉะนั้นขอให้เดินแบบนี้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แล้วก็ไปฉลองปีใหม่แบบ New Normal แล้วก็ส่งฉลองสงกรานต์ ด้วยจำนวนวัคซีนที่ครอบคลุมเกือบทั้งหมดจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่มากพอ แล้วก็มีบูทเข็มสามแล้วด้วย”
ส่วนมุมมองด้านเศรษฐกิจต่อการเปิดประเทศ ล่าสุด ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า การเปิดประเทศรวมถึง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ ทั้งการยกเลิกมาตรการ Curfew, เปิดร้านอาหารห้างสรรพสินค้า, อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เปิดสถานศึกษานั้น จะเอื้อให้กิจกรรมเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อในช่วงปลายปี 2564 และถือเป็น Upside ในการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2564
จากนี้ต่อไป จะต้องติดตามบรรยากาศการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึงยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า จะเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร เพราะทั้งหมดนี้ คือความเชื่อมั่นที่จะส่งตรงไปยังเศรษฐกิจไทยนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news