คุยเศรษฐกิจ2รมต.จุดพลุน้ำมันถูก
คุยเศรษฐกิจ2รมต.จุดพลุน้ำมันถูก
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ล่วงเลยมานานนับปี ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลายๆประเทศเจอศึกหนักไม่แพ้กัน และต่างก็หาวิธีแก้ไขเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชากรของตนให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้
สำหรับประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน ทั้งผู้ประกอบการ ไปจนถึงประชาชน คนหาเช้ากินค่ำต่างก็เดือดร้อนกันอย่างถ้วนหน้า กิจการร้านค้าต่างๆ ก็ยังเงียบเหงา แม้จะมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนก็ตาม
และแม้ว่าโควิด-19 ยังไม่จางหาย ปัญหาค่าครองชีพ ก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด นั่นเพราะราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า ซึ่งในวันที่ 30 พ.ย.นี้ หากรัฐบาลไม่ทำตามที่สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศยื่นคำขาด ให้ตรึงดีเซลที่ 25 บาทต่อลิตร วันที่ 1 ธ.ค.2564 นี้ ก็จะปรับขึ้นค่าขนส่งทันที 10% พร้อมกับรถบรรทุกอีกจำนวนไม่น้อยที่จะหยุดวิ่ง และไม่เพียงแค่กลุ่มรถบรรทุกเท่านั้นที่ร้องขอ ยังมีผู้ประกอบการเรือโดยสารคลองแสนแสบ ที่รอกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ไฟเขียวขึ้นค่าโดยสาร ขณะที่ปีหน้า 2565 ค่าไฟก็จะปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี หรือ แพงขึ้นอีกเกือบ 5%
สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถาม 2 อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมัน โดย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การแก้ปัญหาน้ำมันแพง รัฐบาลควรที่จะลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเหลือ 1 สต. จากปัจจุบันอยู่ที่ 5.99 บาท เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง พร้อมกับลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยออกไป
ผมจะปรับภาษีสรรพสามิตออกไปเลย เหลือ 1 สต. จาก 5.99 บาท เหลือ 1 สต. แล้วผมก็จะเลิกเงินกองทุนต่างๆ ที่ไม่จำเป็น
ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น โดยส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลควรมีมาตรการในการตรึงราคาน้ำมัน โดยเฉพาะการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เนื่องจากจะเป็นการลดภาระให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อยอย่าง SMEs บนภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมทั้งยังทำให้ธุรกิจ SMEs ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมานโยบายของภาครัฐในการเยียวยาปัญหาจากโควิด-19 เป็นการจ่ายเงินโดยตรงให้กับประชาชนเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ แต่ไม่ได้มีผลต่อการเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐในทางอ้อม ซึ่งมองว่าการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันของรัฐบาลอาจเป็นเรื่องที่ยากต่อการตัดสินใจ เนื่องจากปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้รายได้ของรัฐลดลง และการปรับลดภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้รัฐบาลมีความจำเป็นในการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาครัฐมีโอกาสพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศ สอดคล้องกับท่าทีล่าสุดของรัฐที่เปิดเผยว่ากำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เช่นกัน โดยสภาพัฒน์ เผยว่าอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการ “ช้อปดีมีคืน” และคาดจะได้ข้อสรุปภายในปี 2564 นี้
จากนี้ต่อไปคงต้องจับตามาตรการด้านเศรษฐกิจ ที่เชื่อมโยงไปกับปากท้องของประชาชน เพราะนี่คือ หนึ่งในสตอรี่สำคัญที่จะขับเคลื่อนคะแนนนิยม ของรัฐบาลนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news