สำรวจการใช้รถใช้บนถนนลาดพร้าว พบทำผิดกฏจราจรหลังบังคับใช้มาตรการปรับฝ่าฝืนกฏหมาย
หลังมีกำหนดมาตรการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนกฎหมายและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น โดยเน้น กวดขัน จับกุม ผู้กระทำผิดใน 4 ข้อหาสำคัญ คือ
1.ขับรถย้อนศร โทษปรับไม่เกิน 500 บาท
2.ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
3.ขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้า โทษปรับตาม พ.ร.บ.จราจรฯ 400-1,000 บาท และปรับตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ ไม่เกิน 5,000 บาท และ
4.ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว มีโทษปรับ 400-1,000 บาท
ทั้งนี้ นอกจากการออกใบสั่งตามปกติแล้วหากพฤติการณ์การกระทำผิดตามข้อหาดังกล่าว มีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน หรือประชาชนทั่วไป จะมีการดำเนินคดีในข้อหา “ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น” ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 2,000 – 10,000 บาท และต้องยื่นฟ้องผู้กระทำผิดต่อศาล พร้อมทั้งมีคำร้องขอให้ศาลริบรถของกลาง
ในวันนี้ทีมข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น ลงพื้นที่สำรวจการใช้รถใช้ถนน ในพื้นกรุงเทพมหานคร บริเวณถนนลาดพร้าว พบว่า ผู้ใช้รถใช้ถนน มีทั้งปฏิบัติตามกฎจราจรและผิดกฎจราจร มีทั้งผู้สวมใส่หมวกนิรภัยและไม่สวม รวมถึงจากการสำรวจในจุดนี้ยังพบด้วยว่ามีการขับรถย้อนศรและบนทางเท้าอีกด้วย ขณะเดียวกันได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาอำนวยความสะดวกด้านการจราจร รวมถึงสกัดผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกใบสั่งและกล่าวตักเตือนและเน้นย้ำไปว่าให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการระดมบังคับใช้กฎหมายจราจรเข้มข้น ส่วนการระดมกวดขันเข้ม เป็นการบังคับใช้กฎหมายครั้งแรกในวันที่ 15-24 พ.ย. 2564 รวม 10 วัน สามารถจับกุมผู้กระทำผิด ประกอบด้วย ขับรถย้อนศร 20,671 ราย, ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 8,748 ราย, ขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้า 2,870 ราย และขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว 600 ราย รวมผลการดำเนินการทั้ง 4 ข้อหา จับกุมรวมทั้งสิ้น จำนวน 32,889 ราย แบ่งเป็น รถจักรยานยนต์ทั่วไป 26,865 ราย รถจักรยานยนต์เดลิเวอรี่ 4,455 ราย และรถจักรยานยนต์สาธารณะ 1,596 ราย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news