หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากดำรงตำแหน่งยังไม่ครบ 8 ปี นั้นก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในหลายภาคส่วน หลายฝ่ายต่างจับตาท่าทีของพล.อ. ประยุทธ์ และทิศทางของการเมืองว่าจะเดินหน้าต่อในรูปแบบใด รวมถึงจะส่งผลกระทบบวกหรือลบต่อเศรษฐกิจ
โดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ได้เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่าผลที่ออกมาเป็นไปตามคาดหมาย ส่วนตัวไม่แปลกใจที่ออกมาเช่นนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้กับชุดก่อน ถึงจะหน้าตาเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าเป็นคนละชุดกัน พร้อมมองว่าต่อให้มีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย
“ผมคาดมาตั้งแต่ต้นครับ เพราะฉะนั้นอาจารย์ถึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงออกมาในลักษณะอย่างนี้ อาจารย์จึงคิดว่ามันจะออกมาใน 2 กรณี กรณีหนึ่งก็คือตั้งแต่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับ เพราะว่ารัฐบาลชุดนี้กับชุดก่อน เหมือนกับรัฐบาลคนละชุด เพียงหน้าเหมือนกันเท่านั้นเอง ชุดก่อนมาทำการรัฐประหาร ชุดใหม่มาจากครรลองของการเลือกตั้ง จริงๆ แล้วก็ถือว่าเป็นคนละชุด แม้ว่าจะหน้าตาเหมือนกันหรืออะไรก็ตามในแง่ของกฎหมาย
ต่อให้มีการเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่ได้กระทบกับทางด้านของเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในเมืองไทย เป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย เพราะว่าพรรคต่างๆ เหล่านี้มีนโยบายที่หนึ่งมีลักษณะเป็นเชิงโครงสร้าง เพราะฉะนั้นต่อให้รัฐบาลชุดนี้หรือต่อให้ฝ่ายค้านจะเข้ามา
นโยบายก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กันคือ หนึ่งเป็นนโยบายในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และที่สำคัญอีกอย่างคือนโยบายระยะยาวนะครับ เพราะฉะนั้นผมก็คิดว่ารัฐบาลประยุทธ์ จะอยู่ต่อหรือใครจะเปลี่ยนแปลงอาจารย์ไม่คิดว่าจะไปเปลี่ยนแปลงนโยบายในเชิงโครงสร้าง ”
นโยบายที่ 8 การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม
นโยบายที่ 9 การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นโยบายที่ 10 การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ
นโยบายที่ 11 การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
2.แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562
12 นโยบายหลัก
1. การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
2. การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ
3. การทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
4. การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
5. การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
6. การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
7. การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
8. การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
9. การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
10. การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
11. การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ
12. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม
12 นโยบายเร่งด่วน
1.การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน
2. การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
3. มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
4. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม
5. การยกระดับศักยภาพของแรงงาน
6. การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต
7. การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21
8. การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจํา
9. การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
10. การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน
11. การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย
12.. การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดําเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
แม้นโยบายที่ พล.อ.ประยุทธ์ แถลงต่อสภาทั้ง 2 ครั้ง จะดูสวยหรู ครอบคลุมและกว้างขวางมาก แต่ในความเป็นจริงที่ทำตลอดระยะเวลา 8 ปี ซึ่งถือว่านานมากแล้ว ผลงานด้านไหนดี รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ถนนหนทาง หรืออื่นๆ
ส่งผลดีต่อพื้นที่ใด จังหวัดไหนบ้าง ใครจะรัก ใครจะชม ใครจะเชียร์ ใครจะเลือกให้กลับมาใหม่อีกก็แล้วแต่การตัดสินใจของแต่ละคน เพราะวาระของสภาชุดปัจจุบันเหลือเพียง 6 เดือน กกต.ออกกฏ 180 วัน มาคุมพฤติกรรมของนักเลือกตั้งกันแล้ว
ดังนั้นเวลาที่เหลืออันน้อยนิด ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้โพสต์เอาไว้ คือจะทำอะไร และผลที่ได้จะเป็นอย่างไร จะสามารถกอบกู้ภาพลักษณ์ ที่ถูกฝ่ายค้านโจมตี ว่า 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ใช้งบประมาณแผ่นดินไป 28.5 ล้านล้านบาท
แต่ผลงานกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่เป็นสัปปะรด เอาเสียเลย เกิดความเหลื่อมล้ำ เดือดร้อนจากของแพงกันทั้งประเทศ ทำหนี้สาธารณะทะลุ 10 ล้านล้านบาท ทำหนี้ครัวเรือนพุ่ง 14.6 ล้านล้านบาท ทำคนจนจาก 6 ล้านคน เพิ่มเป็นเกือบ 20 ล้านคน
แม้จะมีข้ออ้างที่พอจะฟังขึ้นบ้างว่าประเทศประสบปัญหาโรคระบาด ทำเศรษฐกิจถดถอยกันทั่วโลก แต่ปี 8 ยังทำไม่ได้ แล้วเวลาอันน้อยนิดอีก 6 เดือนจะทำอะไรได้ เพื่อให้เดินหน้าและเสร็จสมบูรณ์ สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับบ้านเมือง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews