การเตรียมจัดเก็บภาษีขายหุ้นเป็นเรื่องที่ทำให้ตลาดเกิดความกังวล ต่อการเทรดในระยะข้างหน้า แม้ทางกระทรวงการคลังอธิบายว่า สาเหตุที่ต้องเก็บภาษีขายหุ้นเพราะยกเว้นให้มากกว่า30 ปีแล้ว
โดยการปรับปรุงครั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐให้มีความยั่งยืน คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ประมาณปีละ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าต่างชาติหดหายไป อาจทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นไทยปัจจุบันลดลงเกือบครึ่ง เพราะนักลงทุนต่างชาติร่วมเทรดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้ามาเทรดระยะสั้น และจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องแน่นอน
โดยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีขายหุ้นจะทำให้ต้นทุนเข้ามาลงทุนสูงขึ้น การซื้อขายของตลาดทุนไทยช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมามาจากสภาพคล่องจากต่างประเทศทำให้ไทยเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียนช่วงหลายปีที่ผ่านมาและอาจหายไปได้จากการเก็บภาษีขายหุ้น เพราะมีการจัดเก็บร้อยละ 0.11
จากเดิมที่เสียค่าธรรมเนียมแค่ร้อยละ 0.03 ผลักดันให้ต้นทุนสูงขึ้นซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติกลุ่มนี้ออกไปลงทุนในตลาดอื่นที่มีสภาพคล่องสูง และอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุนไทยจากระดับ 3 หมื่นล้านบาทเหลือระดับ 1 หมื่นล้านบาท และจะเรียกกลับมาระดับดังเดิมคงเป็นเรื่องที่ยาก รวมทั้งตลาดทุนไทยยังต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่ถึงจุดสูงสุด และการดำเนินมาตรการนี้จะทำให้ตลาดทุนเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่วนในตลาดอื่นที่มีการจัดเก็บ เพราะตลาดในประเทศอื่นๆ เป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว และมีขนาด 1000% เทียบกับจีดีพีของประเทศ ขณะที่ตลาดทุนไทยมีขนาดเพียง 100% ของจีดีพี
อย่างไรก็ตามแม้รัฐจะมองว่าการจัดเก็บภาษีจะทำให้รัฐมีรายได้จากการขายหุ้น แต่หากมองระยะยาวผลกระทบจากการที่นักลงทุนจะขยับไปลงทุนและระดมทุนในตลาดอื่นอาจทำให้เสียรายได้ในระยะยาว เพราะสภาพคล่องลดลง ดังนั้นควรเน้นการดึงภาคธุรกิจเข้ามาในตลาดทุนเพิ่มจากปัจจุบันที่มีเพียง 800 บริษัทให้มากขึ้น เพราะปีที่ผ่านมาเพียง 800 บริษัทสามารถจ่ายภาษีให้ภาครัฐในปีที่ผ่านมากกว่า200,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีมากขึ้นจะสามารถหารายได้เข้ารัฐได้เพิ่มขึ้นด้วย
ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า กล่าวในงานสัมมนา ภาษีขายหุ้นคุ้มหรือไม่ ว่า การจัดเก็บภาษีขายหุ้น อาจทำให้นักลงทุนขยับออกไปลงทุนต่างประเทศได้เพราะปัจจุบันการลงทุนทำได้ง่ายหลายๆ ประเทศ เนื่องจากนักลงทุนจะหนีไปหาตลาดที่มีสภาพคล่องสูงในตลาดอื่นแทน รวมทั้งระยะยาวหากสภาพคล่องในตลาดทุนไทยลดลง การหารายได้ในการขับเคลื่อนประเทศคงทำได้ยาก เพราะเม็ดเงินในการระดมทุนจะหายไป รัฐจะจัดเก็บภาษีได้ลดลง รวมทั้งการคาดการณ์ของภาครัฐที่จะจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นที่ 16,000 ล้านบาท
คงไม่คุ้มค่า หากมองมูลค่าตลาดที่มีอยู่ 20 ล้านล้าน หากผลักดันส่งเสริมให้ขยับหรือเติบโตขึ้นร้อยละ 1 รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 200,000 ล้านบาท จากในระดับปัจจุบัน ดังนั้นจึงมองว่าการดำเนินมาตรการนี้เหมือนการปิดโอกาสในการระดมทุนและเป็นเรื่องที่น่าห่วงในระยะยาว
จะเห็นได้ว่าความเห็นของทั้ง 2 มุมมองมีความเป็นห่วงในระยะยาว เหมือนรัฐบาลกำลังวางระเบิดเวลาทำลายหม้อข้าว ถุงเงิน และโอกาสของประเทศ เพราะขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยยังถือว่ามีจำกัด และยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ยังต้องแข่งขันกับต่างประเทศในการที่จะทำให้ตลาดทุนมีทั้งความลึกและความกว้าง
นอกจากนี้ตลาดทุนไทยกำลังต้องการให้เอสเอ็มอี สตาร์ตอัพ สามารถเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทยได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อแนวโน้มในอนาคต เพราะหากสภาพคล่องลดลง จะกระทบไปสู่ภาคธุรกิจเวลาเข้ามาระดมทุนหรือออกไอพีโอ ที่อาจทำได้ไม่ดีเท่าเดิมเพราะสภาพคล่องหายไป ไม่แตกต่างจากการตัดอนาคตในการเติบโตด้านธุรกิจที่จะเกิดขึ้นอย่างน่าเสียดาย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews