ปี 2566 เศรษฐกิจในหลายประเทศอาจต้องเผชิญกับ “ภาวะถดถอยเล็กน้อย” ในไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทำให้ราคาทองคำน่าดึงดูดขึ้นมาทันที
เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์เพียงหนึ่งเดียวที่ธนาคารกลางทุกแห่งมี และคงเป็นเรื่องที่หลายคนที่เป็นนักลงทุนให้ความสนใจ สำหรับแนวโน้มราคาทองในปี 2566 จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐมีความเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ก่อนหน้านี้จะมีหลายสำนักทั้งนักวิเคราะห์ กูรู ต่างออกมามีความเห็นว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะทะยานขึ้นระดับ 4,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือปรับจากระดับปัจจุบันเกินเท่าตัว และจะดันให้ราคาทองคำในประเทศไทยพุ่งทะลุบาทละ 60,000 บาท เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงหรือ
ทั้งนี้จากการสอบถามผู้คร่ำหวอดในตลาดทองคำมากกว่า40 ปี อย่างคุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ราคาทองคำในปีหน้าหากจะขยับพุ่งขึ้นไปแบบที่สำนักต่างประเทศ หรือ กูรู บางคนที่มองราคาจะปรับขึ้นขยับระดับ 3,000-4,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือราคาขยับแตะบาทละ 60,000 บาท คงเกิดขึ้นได้ยาก
ในรูปแบบที่ค่าเงินดอลลาร์จะต้องไม่มีค่า ไม่แตกต่างจากแบงก์กงเต๊ก หรือไม่มีใครใช้สกุลเงินดังกล่าวแล้ว ถึงจะเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ส่วนอีกกรณีแม้จะเกิดความขัดแย้งวุ่นวายในเชิงภูมิศาสตร์จนนำไปสู่สงครามโลกราคาทองก็ไม่น่ามีแนวโน้มขึ้นไปในระดับดังกล่าวได้ รวมทั้งต่อให้สถานการณ์การเมือง การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นวุ่นวาย จลาจล ก็ไม่น่าจะทำให้ราคาพุ่งไประดับนั้นแน่นอน กล่าวคือเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่หากจะทะลุระดับ 1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในปีหน้ามีความเป็นไปได้มากกว่า เนื่องจากกำลังซื้อของนักลงทุนที่กลับมาหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายมากขึ้น ทำให้การค้า การลงทุน และการเปิดประเทศท่องเที่ยวกลับมาคึกคักเต็มรูปแบบ รวมทั้งทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่า ควบคู่กับทิศทางค่าเงินบาทที่จะแข็งค่ากลับสู่ระดับปกติที่ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือได้ว่าทิศทางราคาทองคำในปีหน้าจะดีดตัวและมีราคาดีกว่าในปีนี้ได้
ซึ่งความเห็นของนายกสมาคมค้าทองคำแสดงให้เห็นว่าระดับราคาดังกล่าวในปีหน้าที่จะเกิดขึ้นในระดับ 4,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือทะลุบาทละ 60,000 บาท คงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นยากและคงไม่น่าปีนไปถึงระดับนั้น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews