ชัดเจนแล้ว 14 พ.ค. วันกาบัตร เข้าคูหา เลือกตั้งใหญ่ ชี้ชะตาประเทศไทย หลัง “นายกฯลุงตู่” ประกาศยุบสภา 20 มีนาคม หลายฝ่ายมองตรงกันว่า จากนี้ไป เราจะได้เห็นเกมการเมืองที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด เพราะทุกพรรคต่างมีเป้าหมายใหญ่ที่ตรงกัน นั่นคือ การคว้าชัย เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล
“หอการค้าไทย” ประเมินว่า การลงพื้นที่หาเสียงในช่วงจังหวะการเมืองเข้มข้น จะมีเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากถึง 1.2 แสนล้านบาทเป็นอย่างต่ำ และมีผลทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5-0.7 ดันให้ทั้งปีเศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้มากถึงร้อยละ 3-4
ขณะที่ฝั่งตลาดหุ้นไทยก็จับตาการเลือกตั้ง โดยฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส คาดว่า กว่าที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วเสร็จ และจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงดำเนินกระบวนการต่างๆ จนรัฐบาลใหม่สามารถเริ่มทำงานได้ ก็จะกินเวลาช่วงเดือน ส.ค.2566 ทั้งนี้ประเด็นที่น่าจะต้องติดตาม ในส่วนที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย ได้แก่
1. แนวนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ ว่าจะมีผลดีหรือผลเสีย ต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีการพูดถึงแนวทางในการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างไร เช่น แนวคิดเรื่องการจัดเก็บภาษี จากการลงทุนในตลาดหุ้น หรือ การนำ LTF กลับมา หรือไม่อย่างไร เป็นต้น
2. ผลการเลือกตั้ง ภายใต้กติกาการเลือกตั้งใหม่ที่ใช้บัตร 2 ใบ เชื่อว่าพรรคเล็กจะมีโอกาสชนะน้อยลง ส่วนพรรคใหญ่ ประเมินจากสถานการณ์ก็ดูไม่ง่าย เนื่องจากที่ผ่านมามีการย้ายพรรคของ ส.ส. เป็นจำนวนมาก และพรรคใหญ่บางส่วนก็แตกออกมาเป็นพรรคขนาดกลาง-เล็ก ด้วยสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้การคาดหมายถึงผลการเลือกตั้ง รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลทำได้ยาก ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
และ 3. จากกรอบเวลากว่าที่จะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ก็น่าจะเป็นช่วงกลางเดือน ส.ค.66 ซึ่งใกล้หมดปีงบประมาณ 2566 และกว่าที่กระบวนการจัดทำงบประมาณปี 2567 ก็ต้องใช้โครงของงบประมาณปี 2566 ใช้ไปพลางก่อน ซึ่งอาจทำให้โครงการลงทุนใหม่ๆ ต้องชะลอออกไประยะเวลาหนึ่ง
สอดรับกับมุมมองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “นายเกรียงไกร เธียรนุกุล” ที่กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า มีความกังวลต่อสุญญากาศทางการเมืองระหว่างรอรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่าจะได้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลรักษาการดูแลและช่วยพยุงเศรษฐกิจไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ
“รัฐบาลใหม่ ที่จะเข้ามา ยังไม่รู้ แต่เรารู้ว่า กว่าจะได้รัฐบาล นับกันแล้ว ประมาณสิงหา ก็คือว่า ต้องอย่าเกียร์ว่างกัน ทุกคนยังต้องทำงานเหมือนเดิม อะไรที่ทำ ก็ต้องทำ แล้วก็ช่วยกัน พยุงเศรษฐกิจ จนได้รัฐบาลใหม่”
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวอีกว่า โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ คือ ต้องเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปัญหาปากท้อง เพิ่มรายได้ รวมถึงการสร้างงาน
“เมื่อรัฐบาลใหม่มา โจทย์ที่สำคัญ ที่วันนี้ที่ทุกคนอยากจะ เป็นโจทย์ขอโลกด้วยก็คือเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง เรื่องรายได้ เรื่องการสร้างงาน การที่จะทรานส์ฟอร์มประเทศ ให้ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะแข่งขันได้ และก็ช่วยบรรดา SME ทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ รวมทั้งวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ต้องเตรียมเงิน เตรียมแพ็กเกจ มาตรการช่วยเหลือพวก SME เพราะว่า ดูท่าทางสถานการณ์โลก จะยังไม่น่าไว้วางใจ และก็เรื่องสงครามรัสเซีย ยูเครน ยังมีทีท่าว่ายังยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น”
และนี่ก็เป็นมุมมองต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจากนี้ต่อไปจะต้องติดตามความร้อนแรงของการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งที่ว่ากันว่าจะสนุก เข้มข้น โดยมีเป้าหมายใหญ่คือ ชัยชนะนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews