แม้หลายคน หลายพรรคจะโจมตีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งปี 2562 ว่าสืบทอดอำนาจ โจมตีว่าบ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะรัฐธรรมนูญถูกเขียนมาโดยกลุ่มบุคคลที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมา แต่เมื่อการเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค.2566 เพื่อเฟ้นหาผู้แทน ผู้บริหาร ที่จะกำหนดอนาคตของประเทศชุดใหม่ ทุกพรรคการเมืองก็ขานรับและพร้อมลงสนามประชาธิปไตยกันอย่างพร้อมเพรียง
โดยเมื่อเปผิดรับสมัครบุคคลที่เสนอตัวเป็น ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 52.2 ล้านคน ได้ใช้สิทธิ์เลือกผู้แทนของตนเอง ก็มีผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต จาก70 พรรคการเมือง รวมทั้งสิ้น 4,781 คน กรุงเทพมหานคร คือพื้นที่ ที่มีผู้สมัคร ส.ส.มากที่สุดของประเทศ จำนวน 498 ส่วนแบบบัญชีรายชื่อ หรือ ปาร์ตีลิสต์ มีทั้งสิ้น 67 พรรคการเมือง จำนวน 1,899 คน ร่วมลุ้นเข้าสภา และมีบุคคลถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี 63 คนจาก 43 พรรคการเมือง
และหลังจากนี้ 7 วัน จะเป็นขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติ ว่าเป็นไปตามที่กฏหมายกำหนดหรือไม่ ก่อนจะประกาศรับรองรายชื่อผู้สมัครอย่างเป็นทางการภายในวันที่ 14 เม.ย.นี้ และหากมีผู้ใดถูกตัดสิทธิ์ ถูกคัดออกเพราะคุณสมบัติครบ หรือไม่ผ่านเกณฑ์ ด้วยสาเหตุใดก็ตาม สามารถร้องคัดค้านต่อศาลฎีกาได้ภายใน 7 วันและกฏหมายกำหนด ศาลจะต้องพิจารณาชี้ขาดก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 3 วัน
จากจำนวนผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 2 แบบ และจำนวนแคสดิเดตนายกรัฐมนตรี ในปี 2566 ซึ่งพบว่า น้อยกว่า เมื่อปี 2562 อย่างเห็นได้ชัดชนิดหลายเท่าตัว เพราะตัวเลขเมื่อ 4 ปีก่อนนั้นถือเป็นสถิติที่ยากจะถูกทำลาย มีผู้สมัครแบบแบ่งเขตสูงถึง 11,128 คน จาก 80 พรรคการเมืองสูงสุดเท่าที่เคยมีมา บัญชีรายชื่อ 2,718 คน จาก 72 พรรคการเมือง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีก 68 คนจาก 44 พรรคการเมือง
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความแตกต่างกันมาก ระหว่างปีนี้ กับ 4 ปีก่อน คงยากจะฟันธงว่าเพราะเหตุผลใด เพราะ 4 ปีก่อนนั้น เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี อีกทั้งกติกาการเลือกตั้งก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งในตอนนั้นเป็นบัตรใบเดียวนับคะแนนแบบปันส่วนผสม ทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ มีการแตกแบงก์พัน จนทำให้เกิดพรรคลูก พรรคสาขามากมาย แต่เมื่อกติกาเปลี่ยนเป็นบัตร2 ใบ จำนวนพรรคการเมือง และผู้สมัคร ส.ส.จึงลดลงอย่างที่เห็น
แต่นั่นก็คงไม่ใช่คำตอบ ว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ กำลังมีปัญหา ถอยหลังเข้าคลอง หรือยังไม่เต็มใบ แต่คำตอบน่าจะอยู่ที่ หลังการเลือกตั้งมากกว่า การยอมรับผลการตัดสินใจของประชาชนว่าใครคือผู้ชนะ หรือผู้ปราชัย คือหัวใจสำคัญ เพราะหากทุกฝ่ายยอมรับกับในการตัดสินใจของประชาชน ประเทศ และประชาธิปไตยของประเทศ ก็จะเดินหน้าส่วนใครจะมองว่าเต็มใบ หรือครึ่งใบ คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews