น่าสังเกตว่าห้วงนี้ ค่ายเพื่อไทย ออกแคมเปญ การเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ แบบตอกย้ำบ่อยถี่มากยิ่งขึ้น อย่าง”อุ๊งอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
พรรคเพื่อไทย กล่าวในช่วงหาเสียงกับชาวสุโขทัยว่า ขอประชาชนลงเสียงเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ ออกไปเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค แบ่งใจไม่ได้ ต้องรวมใจเป็นหนึ่ง เอาชนะ ส.ว. เอาชนะระบอบ 3 ป. และเอาประชาธิปไตยของประชาชนกลับมา ซึ่งประเด็นนี้ถูกเปิดมาโดย เฮียโทนี่ ทักษิณ ชินวัตร พูดไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนก.พ.ปี 2566 ว่า” ถ้าประชาชนคิดจะสู้กับ ส.ว. แต่งตั้ง ก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ประชาชนต้องเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ คือ เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งที่มีโอกาสชนะมากที่สุด มีคะแนนสูงให้เป็นพรรคหลักของฝ่ายประชาธิปไตย”
ขณะที่ เสี่ยอ้วน ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าเพื่อไทย ระบุว่า “หน้าที่เราคือทำให้เห็นว่าเป็นพรรคเดียวที่มีศักยภาพและพร้อมเป็นเครื่องมือไปสู่การเปลี่ยนแปลง” ส่วน กลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย เคลื่อนไหวผ่านโชเชียลทั้งเฟชบุ๊ค ทวิตเตอร์ และอื่น นำเสนอ “4 นาที รู้วิธีกำจัด #ระบอบประยุทธ์!ทางเลือกเดียวของประชาชน คือ “การเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์” ชนะขาดเท่านั้น! คือหนทางเดียวในการเปลี่ยนประเทศนี้ ซึ่งเป็นคลิปสั้นความยาวประมาณ4นาทีครึ่ง เป็นการทำความเข้าใจในเรื่อง การเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ เพื่อไม่ให้เกิดการ”ตัดคะแนนกันเอง”
ทำให้พรรคในฝ่ายเดียวกันต้องแพ้พรรคอีกขั้วหนึ่ง และในคลิปยกตัวอย่างการเลือกตั้งสนามกรุงเทพ เขต7 จตุจักร-หลักสี่ เมื่อปี 2562 ทีแข่งกัน 4พรรคหลัก คือเพื่อไทย อนาคตใหม่ พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ โดยผลการเลือกตั้งฝ่ายประชาธิไตยคือเพื่อไทย32,155คะแนน รวมกับ อนาคตใหม่ 25,735คะแนน รวม ได้57,850 คะแนน ขณะที่อีกฝ่ายคือ พลังประชารัฐ 34,907คะแนนและประชาธิปัตย์16,255คะแนน รวมกันได้ 51,162 คะแนน นั้นเท่ากับถ้านับเป็นฝั่งแล้วฝั่งประชาธิปไตยชนะ
แต่ทว่าเมื่อนับเป็นพรรค ทางเพื่อไทยพ่ายให้กับ พลังประชารัฐ เนื่องจากทางฝั่งประชาธิปไตยมีการตัดคะแนนกันเอง และเป็นในลักษณะนี้กว่า20เขตทั่วประเทศ ทำให้ฝั่งประชาธิปไตยมีสส.น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ไม่สามารถตัดตั้งรัฐบาลได้ ฉะนั้นศึกเลือกตั้งครั้งนี้ทางค่ายเพื่อไทยจึงโหมโรง ย้ำหัวหมุดให้มีการเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์” แต่แน่นอนว่าการประกาศเช่นนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับทางค่ายก้าวไกลที่มีฐานเสียงใกล้เคียงกัน
โดยทางนาย รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล
โพสต์คลิปวิดีโอลงแอปพลิเคชัน Tiktok ส่วนตัว โต้กลับว่า การเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ไม่มีจริง แค่วาทกรรมสร้างความกลัว จนไม่กล้าเลือกคนที่ชอบ ใครที่ออกมาหาเสียงแบบนี้ สะท้อนว่า เป็นการบังคับประชาชนให้เลือกคนที่ไม่ได้ชอบ เลือกในบุคคลที่ตนเองไม่ได้รักและอาจไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนได้ พร้อมกับ ยกตัวอย่างว่า ตอนเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มีการใช้วาทกรรมว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมอยู่ภายใต้ความกลัว และท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนั้น ตนคิดว่าไม่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเลือกทางที่ดีคือการเลือกตั้งอย่างมีความหวังที่มีความฝันอยากให้เป็นไปได้ สิ่งที่ตนอยากจะเสนอกับทุกคน คือ มันไม่มีการเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ มีแต่การเลือกตั้งที่อยากจะเห็นว่าใครเป็นตัวแทน อยากได้รัฐบาลแบบไหน ซึ่งการเลือกตั้งที่ดีควรจะเป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตามเกจิการเมืองมองว่าถ้าเพื่อไทยมา 250 เสียง ไม่จับมือกับก้าวไกลแน่นอน แต่จะไปจับกับพรรคอื่นๆ ในฝั่งเดียวกัน เพราะทางเพื่อไทยก็รู้ดีว่าทำงานกับค่ายก้าวไกลยาก เนื่องจากมีความสุดโต่ง มีอัตตา ความเป็นตัวตนสูง และมุ่งจะอวยมวลชนมากเกินไป ฉะนั้นแล้วต้องจับตาว่า “การเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์” ของเพื่อไทยจะทำให้ชนะเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาลได้อย่างที่หวังและตั้งใจไว้หรือไม่?
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews