น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนหลัก รวมถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องจับตาท่าทีของ “สว.” ด้วยเช่นกัน
และสำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยนั้น ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า ยังมีความหวังขยายตัวได้ต่อเนื่อง หลังการเลือกตั้ง จากนโยบายหาเสียงต่างๆ ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยติดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะ Recession จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ Fund Flow ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ หากเจาะลึกรายละเอียดนโยบายไฮไลท์ของพรรคที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ เริ่มจากพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 คือ พรรคก้าวไกล “เน้นปรับโครงสร้างทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการทุกช่วงวัย”
ขณะที่พรรคคะแนนเสียงอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย “เน้นเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส พร้อมกับคาดหวัง GDP กลับมาเติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5%”
แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งในประเด็นที่นักลงทุนติดตาม ไม่แพ้การเฝ้ารอดูโฉมหน้านายกรัฐมนตรีคนใหม่ นั่นก็คือ ใครที่จะมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ในวันนี้มีงานท่วมหัวท้าทายความสามารถ หนุนเชื่อมั่น
สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถาม “ซีอีโอ” บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ “นายไพบูลย์ นลินทรางกูร” ที่ในอีกบทบาทหนึ่งนั้น เขาคือ นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ถึงสเปครัฐมนตรีฯคลังคนใหม่ที่ภาคเอกชนต้องการ โดย “นายไพบูลย์” กล่าวว่า คนๆนั้นจะต้องเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจและกระตุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
“เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ แล้วก็วันนี้ผมคิดว่าเศรษฐกิจ ต้องการแรงกระตุ้นให้เติบโต เกินที่จะเติบโตได้ตามธรรมชาติ ฉะนั้นผมก็คิดว่า ถ้าเราได้รัฐมนตรีฯคลัง ที่เข้าใจเศรษฐกิจ วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถที่จะก้าวต่อไปได้ เพราะมีอะไรให้ทำเยอะ”
นอกจากนี้ “นายไพบูลย์” ยังได้กล่าวถึงความท้าทายของรัฐมนตรีฯคลังคนใหม่ โดยระบุว่า มีความท้าทายเป็นอย่างมาก
“มากครับ เพราะจริงๆ ตอนนี้ ถ้าได้ยินจากหลายๆพรรค ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องประชานิยม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ว่าในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาว ประชานิยมอย่างเดียว ก็ไม่ได้ทำให้การเติบโตมันต่อเนื่อง ฉะนั้นเราก็อยากเห็นมาตรการอะไรที่จะมาสร้างความต่อเนื่องการเติบโตในระยะยาว ให้กับประเทศไทย เพราะวันนี้ประเทศไม่ได้ต้องการแค่การเติบโตในระยะ 1 ปี 2 ปี เพียงแต่ว่าเราต้องมองถึงความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค ในระดับโลก ในช่วง 5 ปี 10 ปีจากนี้ ฉะนั้นผมคิดว่าการวางรากฐานเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ”
และเมื่อถามถึงสายตาของนักลงทุนที่มองประเทศไทยหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป เป็นอย่างไร “นายไพบูลย์” กล่าวว่า นักลงทุนกลัวไม่มีรัฐบาลใหม่ และรัฐบาลปัจจุบันจะต้องรักษาการณ์ไปอีกนาน
“คือตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้กังวลหลอกครับว่าจะได้พรรคไหนมาเป็นผู้นำ เพราะทุกคนล้วนมีความสามารถ เพียงแต่ว่ากลัวไม่มีรัฐบาล กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น แล้วไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และลากยาวแบบนี้เรื่อยๆ มีรัฐบาลรักษาการณ์ไปเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่าไม่เกิดขึ้นนะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะส่งผลเสียหาย อันนี้ก็เป็นความกังวล ที่สุดของตลาดหุ้นอยู่ วันนี้คงยังตอบยากอยู่ แต่ถ้าเราเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลหน้าตาเป็นยังไง ทีมเศรษฐกิจจะเป็นยังไง จะมีแนวนโยบายอย่างไร เพราะก็ต้องเข้าใจว่าเป็นรัฐบาลผสม ฉะนั้นนโยบายต่างๆ ที่หาเสียงกัน ทุกคนก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด ยังมีความจำเป็นว่า สมมุติเราดูอย่างง่ายๆ คือวันนี้ที่คุยกัน 300 กว่าเสียง พรรคที่สูงสุด ก็ 150 แสดงว่าเขาอาจทำได้ครึ่งเดียว ของสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ เพราะอีกครึ่งนึงก็ต้องให้พรรคอื่นที่มาร่วม เขาได้ทำของเขาด้วย ฉะนั้นยังต้องติดตามกันต่อไป”
จากนี้ต่อไปจะต้องติดตามหน้าที่ของ กกต. ที่จะตรวจสอบ ข้อร้องเรียนต่างๆ ที่มีเข้ามาพร้อมวินิจฉัย ให้ใบเหลือง -ใบแดง ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส. อยู่บ้าง แต่ก็น่าจะเป็นส่วนน้อย รวมถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งทุกกระบวนการขั้นตอนเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจไทยนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews