ยังคงติดตามกันอย่างใกล้ชิดสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของพรรคแกนนำอย่างก้าวไกล ซึ่งก็ยังไม่ลงตัวกับการแบ่งสรรปันส่วนในเก้าอี้ตำแหน่งสำคัญๆ อย่าง เก้าอี้ประธานสภาฯ ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีการหารือกับพรรคเพื่อไทย แต่ก็ได้ยกเลิกและเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 2ก.ค.นี้
ล่าสุดนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีการหารือตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยว่า มีการหารือกันซึ่งยังไม่แน่ใจ ต้องให้ทีมเจรจาเคลียร์ ตอนนี้ยังอยู่ในการเจรากัน
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าประเด็นประเด็นประธานสภาฯ ว่าระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล มีการนัดหารือกันในวันที่ 2 ก.ค.นี้ พร้อมประชุมหัวหน้าพรรค 8 พรรคร่วม สิ่งที่เรามีความชัดเจนคือการหารือร่วมกันภายใน พบปะพูดคุยกับคณะเจรจา และมั่นใจว่าจะคุยกันจนได้ข้อสรุปที่ดี
ซึ่งความไม่ลงตัวในการเจรจาของทั้งสองพรรคนั้นอาจจะนำมาซึ่งการได้รับบาลใหม่ที่ล่าช้าหรือไม่ ก็อยู่ในความสนใจของทั้งภาคเอกชน และธุรกิจต่างๆ ที่ติดตามอย่างใก้ชิดเช่นกัน
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่าคาดหวังไม่ได้ว่าจะช้าหรือเร็ว เนื่องจากเป็นกระบวนการทางการเมือง พร้อมยินดีกับทุกคน และทุกพรรค ขอให้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ เรียบร้อยและปลอดภัย เพราะเราคือประเทศไทย เพราะมีหลายอย่างที่แตกต่างจากต่างประเทศ ต้องทบทวนเอาเอง ไม่อยากให้เกิดปัญหา ไม่อยากให้ล่าช้าจนนานเกินไป แล้วมีผลเสีย เรากำลังมีโอกาส ก็อย่าไปทำให้เกิดวิกฤต เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ขอให้ปรึกษาหารือกันให้ดี ให้ได้รัฐบาลที่ดี
สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ได้พูดคุยกับ นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ถึงประเด็นดังกล่าว โดย นายพรายพล ให้ความเห็นว่า ทั้งสองพรรคน่าจะตกลงกันได้ในเรื่องตำแหน่งประธานสภา เพราะการจะเปลี่ยนขั้วใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ต้องจับมือไปด้วยกัน
“ก็คงตกลงกันได้ในที่สุด ก็วินาทีสุดท้าย ต่างคนต่างเพิ่มอำนาจการต่อรอง ก็ตกลงกันได้อยู่แล้ว ประโยชน์ร่วมกัน ตกลงกันไม่ได้มันก็ยุ่งหนักเข้าไปใหญ่ การจะไปจับขั้วเปลี่ยนขั้วใหม่ตอนนี้ ก็คงอาจจะทำได้ไม่ง่ายนัก ก็ต้องเดินทางนี้ ก็ต้องจับมือไปด้วยกัน ปัญหาตัวประธานสภา มันอาจจะไม่มากเท่ากับในที่สุดจะได้ผ่านเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเปล่า หลังจากนั้น อันนั้นน่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญกว่า”
ทั้งนี้เมื่อถามถึงผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของไทยหากเกิดความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล นายพรายพล มองว่า หากการเจราเรื่องประธานสภาไม่ลงตัว ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าไปอีก ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน และอาจกระทบต่อการทำงานของภาครัฐและเอกชนด้วย
“ก็ยิ่งช้าไปอีก การจัดตั้งรัฐบาลมันก็ยิ่งช้าหนักเข้าไปอีก ก็ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจแน่นอน ไม่ใช่เรื่องงบประมาณอย่างเดียวนะ เรื่องการตัดสินใจบางอย่างก็น่าจะต้องถูกแขวนไว้ เพราะว่ามีรัฐบาลรักษาการ สิ่งเหล่านั้นมันก็ทำไม่ได้ แค่นั้นมันก็จะแย่อยู่แล้ว หลายๆเรื่องบางอย่างที่มันจะต้องตัดสินใจ มันก็ไม่สามารถจะทำได้ อย่างการโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ในกระทรวง ทบวง กรม ก็ดี รัฐวิสาหกิจ ถ้ามันทำไม่ได้โดยรัฐบาลรักษาการ มันก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ การทำงานทั้งของราชการเอง รัฐวิสหกิจก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างเต็มที่ ก็แน่นอนก็ต้องมีผลต่อการดำเนินงานในภาครัฐแน่นอน และก็อาจจะกระทบกับเอกชนด้วย”
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาในทิศทางไหน ทั้งภาครัฐและเอกชนก็หวังให้เป็นไปอย่างลงตัว เพื่อการเดินหน้าของประเทศและศรษฐกิจของไทยที่ยั่งยืน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews