ลุ้น3โปรลุงดันGDPพุ่งทะลุ3%
ลุ้น3โปรลุงดันGDPพุ่งทะลุ3%(click ดูวิดีโอ)
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งโครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง และโครงการม.33เรารักกัน เปรียบเสมือนเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศทดแทนภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่เปิดตัวรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ายังประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 โครงการถือว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนมียอดกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตลอดปลายปีช่วง 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2564 รวมทั้งเร็วๆนี้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม โครงการม.33เรารักกัน จะเริ่มทยอยจ่ายเงินให้กับผู้ประกันตนในประกันสังคมเพื่อใช้จ่ายบรรเทาค่าของชีพช่วงโควิดถือเป็นแรงผลักดันที่สามที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 12 มีนาคม 2564 ดังนี้ ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 42,447 ล้านบาท กลุ่มประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว มีจำนวนมากกว่า 16.6 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 59,652 ล้านบาท และกลุ่มประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 0.5 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 1,448 ล้านบาท ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 30.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 103,547 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จากมาตรการของภาครัฐทั้งโครงการคนละครึ่งที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 105,000 ล้านบาท โครงการเราชนะวงเงินลงระบบเศรษฐกิจ 210,200 ล้านบาท รวมทั้งม.33เรารักกัน วงเงินอีก 37,100 ล้านบาท คาดว่าจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เนื่องจากมีเม็ดเงินลงสู่ระบบกว่า 352,300 ล้านบาท ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยหรือจีดีพีในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3 จากการคาดการณ์ของทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 2.8รวมทั้งความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและภาคประชาชนที่จะกลับมามากขึ้น จากการที่ประเทศไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยว
ซึ่งมุมมองภาพรวมต่อเศรษฐกิจไทยของปลัดกระทรวงการคลังนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากภาคเอกชนอย่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัย หอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ที่ออกมาแถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 อยู่ที่ ระดับ 49.4 ปรับตัวดีขึ้นในรอบ 3 เดือน นับจากผลกระทบโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยความมั่นใจมาจากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในโครงการเราชนะ และคนละครึ่งที่ทำให้มียอดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ทำให้ความเชื่อมั่นกลับมา เนื่องจากมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังที่เป็นไฮซีซั่นรัฐบาลอาจจะกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมมองว่าความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจากการอัดฉีดเม็ดเงินของสหรัฐ และรัฐบาลจีนที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะโตได้ในปีนี้ร้อยละ 6 ทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ที่ร้อยละ 3 ถึง 3.5 ตามที่คาดการณ์ไว้ ถือได้ว่ามาตรการรัฐทั้ง 3 อันมาได้ถูกทางและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง จากนี้คงต้องมาดูว่าจะมีผลกระทบหรือปัญหาอะไรเพิ่มเติมหรือไม่จนทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว หรือจะทางสดใสขยายตัวได้ตามเป้าของหลายๆสำนักที่คาดการณ์
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news