“ดีเซล” ขึ้นราคาอีก 50 สต.ต่อลิตร แตะ 30.94 บาทเป็นที่เรียบร้อย โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ให้เหตุผลในการปรับขึ้นครั้งนี้ ว่า เนื่องจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทของกระทรวงการคลังได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา รวมถึงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบกว่า 1 แสนล้านบาท จึงต้องมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล และในอนาคตอาจจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาเป็นแบบขั้นบันได เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันฯ มีหนี้คงค้างค่อนข้างสูง อีกทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เริ่มประทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
นอจกากนี้ กระทรวงพลังงาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.77 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่มีการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อลิตร และหากปล่อยให้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในระดับเดิมต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดหนี้เพิ่มมากขึ้น อาจจะกระทบกับวินัยการเงินและระดับความน่าเชื่อถือของกองทุนน้ำมันฯ ได้
ทั้งนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย หรือ รถเช่าเหมา ถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งทะลุ 30 บาทต่อลิตร ว่า วันนี้ต้นทุนค่าน้ำมันของผู้ประกอบการสูงมาก และการที่ราคาน้ำมันดีเซลไม่นิ่ง ย่อมกระทบต่อการวางแผนของธุรกิจ ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐมีความชัดเจนว่า จะขึ้นราคาน้ำมันดีเซลเมื่อไหร่ หรือระยะเวลาของการตรึงราคาน้ำมันดังกล่าว จะตรึงนานแค่ไหนย่างไร เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้คำนวณต้นทุนค่าใช้จ่าย
“ต้นทุนมันสูงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ในเรื่องของ รถทัวร์นำเที่ยว ค่าน้ำมันก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 70% ของต้นทุนและการรับงานมันเป็นการรับงานล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัวร์ต่างชาติที่จะเข้ามา จะขายกันเป็นซีรี่ย์เข้ามาเลย อย่างตอนนี้ที่บุ๊คกิ้งอาทิตย์หน้า ถึงจะจองเข้ามาที่จะกำหนดราคาให้เขา มันจองข้ามเดือนข้ามปีกันมาแล้ว เพราะฉะนั้นพอต้นทุนขึ้นมาโดยที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะขึ้นไหมขึ้น ขึ้นเท่าไหร่ เราปรับราคาไม่ได้ อย่างวันนี้เราขายที่ราคาน้ำมัน 30 บาท เราก็แบกรับ 50 สตางค์ต่อลิตรอยู่แล้ว และถ้าขึ้นมาอีก 1 บาทหรือ 2 บาทและไม่มีเวลาที่แน่นอนว่าขึ้นเมื่อไหร่ อะไรยังไงมันก็กำหนดค่อนข้างยาก และผู้ประกอบการก็ต้องมานั่งอุ้มแบกรับภาระ เพราะการที่จะไปขึ้นราคาทัวร์กับลูกค้าที่ไปขายต่างประเทศเข้ามา มันก็ทำไม่ได้เพราะว่าเขาซื้อมาแล้วเหมามาแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงเลย”
นอกจากนี้ “ดร.วสุเชษฐ์” ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรถเช่าเหมาด้วยว่า เริ่มดีขึ้นโดยได้รับอานิสงค์จากภาคนักท่องเที่ยวที่ในวันนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น
“อย่างไตรมาสสองที่ผ่านมาก็ดูดีขึ้น ก็เริ่มมีความชัดเจนในเรื่องของการฟื้นตัวของธุรกิจรถโดยสารในเรื่องของการท่องเที่ยวในการเดินทาง เราก็หวังว่าไตรมาส 3-4 และ 6เดือนสุดท้ายของปีเพราะว่างบประมาณก็ผ่านแล้ว การเดินทางของภาครัฐน่าจะมีมากขึ้น ท้องถิ่น อบต. อบจ. ต่างๆก็น่าจะมีเพิ่มขึ้นและก็เป็นช่วงฤดูของไฮซีซั่นของทางต่างชาติที่จะเริ่มเข้ามาเที่ยวเมืองไทยด้วย ก็คิดว่าสถานการณ์ตลาดน่าจะดีขึ้นจากการที่ยังสวิงอยู่ตรงนี้ของราคาน้ำมันมันจะปรับขึ้นแค่ไหน เพราะเวลาน้ำมันขึ้นไม่ใช่เฉพาะน้ำมันจะขึ้นอย่างเดียวต้นทุนอย่างอื่นก็ขึ้นตามมาด้วย ค่าอะไหล่เอย ค่าจิปาถะเอย ขึ้นตามมาหมดทุกอย่างเพราะว่าน้ำมันเป็นตัวหลักในการควบคุมปัจจัยในเรื่องของราคาสินค้าทั้งหมด”
จากนี้ต่อไปจะต้องจับตาท่าทีของรัฐบาลเศรษฐา กับการเดิมพันครั้งใหญ่ ในการบริหารราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพราะถ้ารัฐบาล “อุ้ม” ด้วยการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาดูแลราคา แต่ก็ต้องปวดหัวมือกุมขยับ จากสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯที่ติดลบกว่า 1 แสนล้านบาท แต่ถ้ารัฐบาลเลือกจะ “ปล่อย” ให้ดีเซลเป็นไปตามกลไก ก็อาจทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน จนในที่สุด วลี “แพงทั้งแผ่นดิน” จะกลับมาหลอกหลอนรัฐบาลนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews