ตัวเลข “จีดีพี” ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดความมั่นคง และ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงเห็นทุกรัฐบาลออกมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพื่อให้จีดีพีโตแต่สำหรับปี 2567 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทาย นั่นเพราะหลายสำนักวิจัยได้ออกมาปรับลดประมาณการ”จีดีพี” ลง เพื่อสะท้อนถึงภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย ที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน บอกว่า “วิกฤต”
ล่าสุด IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้หั่นจีดีพีของไทยปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.7% โดย IMF ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอ เนื่องจากแนวโน้มการใช้มาตรการกระตุ้นด้านการคลังลดน้อยลงเช่นเดียวกับกระทรวงการคลังที่ปรับลดจีดีพีปีนี้ลงเหลือ 2.4% จากการประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะเติบโต 2.8% โดยการปรับลดประมาณการครั้งนี้ ทางผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง “นายพรชัย ฐีระเวช”
ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ให้เหตุผลว่า เนื่องจาก
1) การส่งออกสินค้าที่หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์
2) การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัว
3) ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญ
และ 4) ภาคการคลังที่ยังคงใช้การเบิกจ่ายตามงบประมาณตามปี 2566 ไปพลางก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงต่อจากนี้เม็ดเงินจากงบประมาณปี 2567 จะเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเร่งขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และหากเม็ดเงินจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สามารถเริ่มมีการใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นที่ 3.3% ต่อปี
ทั้งนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช”ถึงมุมมองเรื่องจีดีพี โดยอดีตรัฐมนตรีฯคลังสุชาติ กล่าวว่า ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ที่หลายฝ่ายออกมาปรับลดประมาณการลง กระทบต่อความเชื่อมั่น และโดยส่วนตัวมองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวแค่ 2% อันเป็นผลมา จากการส่งออกที่หดตัว จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า
อดีตรัฐมนตรีฯคลัง สุชาติ กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลจะต้องเร่งออกมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยยึดองค์ความรู้เป็นหลัก และไม่ควรที่จะทำอะไรแล้วดูไม่สมเหตุสมผล
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุถึงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย หลังโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท และงบลงทุน 7 แสนล้านบาท ว่า จะมีช่วงระยะเวลาการเบิกจ่ายเพียงแค่ 5 เดือนทั้งนี้หากพิจารณาถึงความต่อเนื่องของการใช้จ่าย ภาครัฐในช่วงปี 2567-2568 รวมระยะเวลา 17 เดือน น่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้าสู่ภาคการ ลงทุนค่อนข้างสูงราว 1.6 ล้านล้านบาท เชื่อว่าโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของ ภาครัฐ จะถูกเร่งดำเนินการ ถือเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาและ วัสดุก่อสร้าง
จากนี้ต่อไปจะต้องติดตามมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี จีดีพีโต ย่อมสะท้อน ถึงความเชื่อมั่นและฝีมือในการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐา 1 นั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews