สร้างแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นอยู่ไม่น้อย หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 ส.ว. ยื่นวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี “นายเศรษฐา ทวีสิน” กรณีแต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง กรณีนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีฯ ทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ทั้งนี้ศาลฯ ไม่ได้มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฎิบัติ หน้าที่ แต่การรับคำร้องไว้วินิจฉัยดังกล่าว อาจถือเป็นประเด็นที่กระทบเสถียรภาพของรัฐบาล และ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับกระบวนการหลังจากนี้ นายกรัฐมนตรีต้องยื่นเอกสารชี้แจงภายใน 15 วัน และรอคำวินิยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องติดตามว่าผลคำตัดสินจะเป็นเช่นไร ซึ่งหากผลคำตัดสินออกมาว่าขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี และ ครม. ก็จะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งหลังจากนั้นจะเป็นกระบวนการในการเลือกนายกฯคนใหม่ และจัดตั้ง ครม. ซึ่งก็จะทำให้ดำเนินนโยบายที่อยู่ในแผนงานของรัฐบาลปัจจุบันต้องสะดุด ไม่ว่าจะเป็น DIGITAL WALLET, การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี , การเตรียมรับมือ อุทกภัยของรัฐบาล เป็นต้น
เช่นเดียวกับ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ที่มองว่า การเมืองไทยกลับมาอึมครึมอีกครั้ง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติพิจารณากรณีนายกฯเศรษฐา ปรับ ครม. อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเมินว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนจากนี้ จึงจะมีคำตัดสิน น่าจะเป็นปัจจัยลบต่อหุ้น domestic plays เนื่องจากในกรณีที่นายกฯ และ ครม. ต้องพ้นจากตำแหน่งอาจส่งผลให้มาตรการเศรษฐกิจต่างๆ ล่าช้าออกไปบ้าง
ขณะที่ “ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์” นักวิชาการอิสระ กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า น่าเป็นห่วงนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้วินิจฉัยนั้น ก็หมายความว่า อยู่ในข่ายที่อาจจะโดนลงโทษได้
“ก็น่าเป็นห่วงอยู่พอสมควร ก็คงจะต้องจับตาดูว่าศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องเนี่ย หมายความว่านายกฯอยู่ในข่ายที่อาจจะโดนลงโทษได้ในระดับหนึ่ง ก็อาจจะต้องเฝ้าติดตามดู ถามว่าเป็นห่วงไหม หรือว่าน่าจะมีผลไหม ก็แน่นอนน่าจะมีผลแน่นอน เพราะว่าถ้านายกฯคุณเศรษฐาพ้นจากตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของหลายคน คือก่อนหน้านี้ก็ไม่มีการคาดหมายมาถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นก็คงจะต้องปรับตัวกันเยอะ”
“ศ.ดร.พรายพล” กล่าวอีกว่า วันนี้การเมืองเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งถ้า “นายเศรษฐา” พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ก็แน่นอนว่าจะกระทบกับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ
“ถ้าคุณเศรษฐาถูกให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางด้านการเมือง และก็จะมีผลไปถึงเศรษฐกิจแน่นอนอยู่แล้ว นโยบายต่างๆที่เคยพูดถึง ว่าจะทำโน่น จะทำนี่ ก็คงจะต้องหยุดชะงักหรือมีการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่ง”
นอกจากนี้ “ศ.ดร.พรายพล” ยังได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยหลังกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยตัวเลขการส่งออกไทยในเดือนเมษายน 2567 ที่พลิกกับมาเป็นบวกขยายตัว 6.8% จากเดือนก่อนที่ติดลบ 10.9% ด้วยว่า การส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้นั้น ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะการส่งออกได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาความขัดแย้งของนโยบายการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายเพราะว่าผมคิดว่าเศรษฐกิจโลกมันก็ยังพอไปได้อยู่ในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นการกลับมาเป็นบวกของเราก็น่าจะเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่มัน 1.คือในแง่ของการเจริญเติบโตก็ยังใช้ได้ เพราะฉะนั้นตลาดหลายๆ ตัวมันก็สามารถที่จะรอรับสินค้าของเราไปได้ตั้งแต่สินค้าเกษตรซึ่งสินค้าเกษตรมีเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดีมาโดยตลอด ก็มีตัวอุตสาหกรรมเท่านั้นเอง ที่ตัวคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ชิ้นส่วน อะไรต่ออะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็เป็นไปตามภาระเศรษฐกิจโลก แล้วก็การแข่งขันความขัดแย้งในเรื่องของการนโยบายการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐโดยเฉพาะผมคิดว่าเป็นประเด็นที่น่าจะต้องจับตาดู”
จากนี้ต่อไปจะต้องติดตามการชี้แจงของนายกรัฐมนตรีในประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะทุกคำที่ชี้แจง ย่อมเชื่อมโยงกับความเชื่อมั่น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน ซึ่งในมุมมองอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ก็เชื่อมั่นว่า นายเศรษฐา จะชี้แจงได้อย่างแน่นอน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews