น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งกับ 2 คดีการเมืองไทย ที่เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและความมีเสถียรภาพของรัฐบาล
คดีแรกศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย “นายเศรษฐา ทวีสิน” จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567
คดีที่ 2 คือ การยุบพรรคก้าวไกล โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ซึ่งฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่ากระบวนการพิจารณาคดีทางการเมือง กรณีที่มีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล อย่างประเด็น 40 ส.ว.ยื่นถอดถอน นายกฯ เศรษฐา และประเด็นยุบพรรคก้าวไกล เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงพฤษภาคม 2567ทำให้ FLOW ต่างชาติทยอยไหลออกจากหุ้นไทยตั้งแต่นั้นมา โดยเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2567 FLOW ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1.6 หมื่นล้านบาท และ 3.5 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ และสร้างแรงกดดดันต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย 5% หรือ ราว 60 จุด ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ หากศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้วยุบพรรคก้าวไกล สส.ภายในพรรค สามารถย้ายพรรคได้ภายใน 60 วันซึ่งมองว่าอาจทำให้เสียงของพรรคฝ่ายค้านลดลง แต่หากไม่ถูกสั่งให้ยุบพรรคท่าทีของพรรคฝ่ายค้านทางสภาฯ ก็น่าจะดูร้อนแรงและแข็งแกร่งมากขึ้น
ส่วนกรณีนายกฯเศรษฐา หากศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้ว นายกฯ ถูกถอดถอนตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบ เพราะคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในปัจจุบัน จะพ้นสภาพไปด้วยและต้องมีการโหวตเลือกนายกใหม่ และอาจนำไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่เตรียมไว้ต้องชะลอออกไปเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลให้ GDP ไทย ชะลอตัวลงในบางภาคส่วน
อย่างไรก็ตามหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลาไม่นาน และได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ผลกระทบก็น่าจะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ
ขณะที่นักธุรกิจคิดเห็นอย่างไรกับ 2 คดีการเมือง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถาม “ดร.ธนิต โสรัตน์” รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยในเรื่องดังกล่าว โดย “ดร.ธนิต” กล่าวว่า บนสมการทางการเมืองในปัจจุบันเชื่อว่านายเศรษฐาจะรอดจากการถูกถอดถอนจากตำแหน่ง
แต่อย่างไรก็ตาม การอยู่ต่อหรือไม่ได้อยู่ต่อในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ก็ไม่ได้มีผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะนายกฯเศรษฐาไม่ได้เป็นคนคุมนโยบายอย่างแท้จริง ส่วนกรณีของพรรคก้าวไกลจะถูกยุบพรรคหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่เราทุกคนรับรู้มาอยู่ก่อนแล้ว
นอกจากนี้ “ดร.ธนิต” ยังได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567โดยคาดว่า จะขยายตัวได้ 2.5-2.6% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวก็ถือว่าเก่งแล้วภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
ด้านกระทรวงการคลัง เผยรายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ณ เดือน กรกฏาคม 2567โดยได้มีการปรับคาดการณ์ GDP ไทย เพิ่มขึ้นเป็น 2.7% จากเดิมคาดโต 2.4%ยังไม่รวมโครงการ DIGITAL WALLET
สำหรับแรงหนุนหลักๆ มาจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 36 ล้านคนจากเดิมคาดไว้ 35.7 ล้านคน ขณะที่สถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 21 ก.ค. 67ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทะลุ 19 ล้านคนแล้ว และน่าจะมีความคึกคักมากขึ้นในครึ่งปีหลัง 2567ซึ่งเป็นช่วง HIGH SEASON นอกจากนี้ยังประเมินว่าจะมีแรงผลักภาคการส่งออก ที่ส่งสัญญาณดีขึ้น มองขยายตัวได้ 2.7% เดิมคาด 2.3%
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้สูงขึ้น และมีโอกาสที่ GDP แตะ 3% สะท้อนได้จากกรณีที่กระทรวงการคลังมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย สอดคล้องกับ IMF ที่ได้ปรับคาดการณ์ GDP ไทยเมื่อช่วง กลางเดือน ก.ค. 67 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 2.9% จากเดิมคาดโต 2.7%
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews