รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯหญิงคนที่ 2 ของประเทศ เกิดขึ้นหลังจาก อดีตนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงอันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) เดิมทีรัฐบาล “เพื่อไทยของ”เศรษฐา” ก็มีที่มาสร้างความผิดหวังให้กับประชาชน และกองเชียร์เป็นอย่างมากมาแล้วเพราะเป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยการตระบัดสัตย์
แม้ภายหลังจะมาอ้างว่าตามทำเนียมประชาธิปไตย พรรคอันดับ 1 ตั้งไม่ได้ พรรคอันดับ 2 ก็มีสิทธิ์ แต่ในความรู้สึกของทั้งกองเชียร์ และกองแช่ง หลักการนี้ก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี เพราะเคยหาเสียงไว้อย่าง กลับทำอีกอย่างจึงถูกปรามาสเป็นรัฐบาลที่ไม่สง่างาม และ “เศรษฐา” ก็อยู่ได้ไม่นาน ส่งไม่ต่อให้ “แพทองธาร” ซึ่งการฟอร์มทีมรัฐบาล จัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรี รัฐบาล”อิ๊งค์ 1″ กลับดูแย่กว่าเดิม เมื่อประกาศไม่เอาพลังประชารัฐด้วยเหตุผล หัวหน้าพรรคไม่ยอมไปสภา ไม่ยอมโหวตให้ และอยู่เบื้องหลัง 40 สว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แม้ 39 สส.ที่เหลือโหวตให้ทั้งหมดก็ตาม
แต่กลับยินดีรับเอาประชาธิปัตย์เข้าร่วม จึงมองว่า “ตรรกะ”เพี้ยนไปพอสมควร เพราะประชาธิปัตย์ทั้งพรรค งดออกเสียงทั้ง 25 คน แถมในอดีต ประชาธิปัตย์ คือคู่ปรับเบอร์ 1 ตั้งแต่เป็นไทยรักไทย ต่อเนื่องมาอีกในเสื้อพลังประชนมาจนถึงปัจจุบัน ที่เป็นเพื่อไทย สู้กับ “ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน,จนถึง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ” รวมๆแล้วสู้กันมายาวนานถึง 26 ปี แต่กลับรับได้ ยอมรับเอาเศษเสี้ยวสส.แค่ 25 เสียงค่ายสีฟ้ามาร่วมพยุงรัฐบาล “อิ๊งค์ 1″ แถมประเคนเก้าอี้รัฐมนตรีให้ถึง 2 ตำแหน่ง
ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะเสียงรัฐบาลสมัย”เศรษฐา” ที่มี 314 เสียง หรือ 319 เสียง ตอนโหวต “อุ๊งอิ๊ง” เมื่อหายไป 40 ยังเหลืออีก 274 เป็นอย่างน้อยเสถียรภาพก็มั่นคงอยู่แล้ว หรืออาจมีมากกว่านั้นหากกลุ่ม”ธรรมนัส”แยกตัวออกมาสำเร็จ ดังนั้นการดึงประชาธิปัตย์ เข้าร่วมไม่ได้อะไรเลย นอกจากความสะใจของใครบางคน และทำให้ฐานเสียงค่ายสีฟ้าสั่นคลอน แต่มันยิ่งทำให้โฉมหน้าของ “ครม.อิ๊ง 1” ยิ่งแย่กันไปใหญ่ หรือจะบอกว่า “ขี้เหร่” กว่ายุคเศรษฐา ไปเลยก็ว่าได้
โฉหมหน้า “ครม.อิ๊งค์1” หลังประกาศชัดไม่พลังประชารัฐ เพราะ “บิ๊กป้อม” และเอาประชาธิปัตย์ เข้ามา 2 เก้าอี้ มันย้อนแย้งกับวลีเด็ดหาเสียงของ”แพทองธาร” ปิดสวิตช์ 3 ป. เพราะดันไปเอา “ปชป.” หรือประชาธิปัตย์ เข้ามา หน้าตาคณะรัฐมนตรี จึงแทบไม่ต่างจากยุค “พล.อ.ประยุทธ์” แม้แต่น้อย ขาดไปเพียงแค่ “พล.อ.ประวิตร” เพียงคนเดียว เพราะที่เหลือ ทั้ง “อนุทิน ชาญวีรกุล จากภูมิใจไทย ,พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์ ของรวมไทยสร้างชาติ,เฉลิมชัย ศรีอ่อนของประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ สมศักดิ์ เทพสุทิน,สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในเพื่อไทยเอง และ “ธรรมนัส พรหมเผ่า”
หากแยกมาจากพลังประชารัฐได้ หรือส่งใครมาแทนในโควต้านั้น ล้วนเคยเป็นวอลเปเปอร์ให้ “ลุงตู่” มาแล้วทั้งสิ้น รวมถึงยังมีชื่อ “เอกนัฏ พร้อมพันธ์”ร่างทรงกำนัน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กปปส.ตั้งเป้ง ที่เคยขับไล่”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จนถึงเวลานี้ยังกลับประเทศไม่ได้ เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีด้วย
ดังนั้น โฉมหน้ารัฐบาล “แพทองธาร” แม้จะไม่ถูกตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ เท่า”เศรษฐา” ตอนที่จับมือ 2 ลุง ทิ้งก้าวไกลไว้กลาทางแต่ความสง่างาม และออร่านั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมในห้วง 10 ปีนี้เลย ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลที่ขี้เหร่ เพราะจะมีคนถามว่า “เฉลิมชัย” ดีกว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จริงหรือ
รวมถึง “เดชอิศม์ ขาวทอง” จะดีกว่า “สันติ พร้อมพัฒน์” ตรงไหนหรือต้องการแค่สะใจใครบางคน เพราะได้ทำลายไปถึง 2 พรรค ส่วนจะสามารถทำผลงานฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริง ทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้อีกครั้งหรือไม่ ต้องรอดูฝีมือนายกฯหญิงคนที่ 2 มิเช่นนั้น เลือกตั้งครั้งหน้าคงถึงเวลาอวสานของบางพรรคอย่าง เป็นทางการแน่นอน กับการตัดสินใจครั้งนี้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
