เรียกว่าเป็นประเด็นร้อนที่แฟนบอลทั่วโลกให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง สำหรับควันหลงการแข่งขันศึกฟุตซอลโลก 2024 รอบแรกนัดสุดท้าย สายเอฟ ที่ ทีมชาติอิหร่าน ชนะ ฝรั่งเศส 4-1 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของคนในวงการฟุตซอลโลกว่าเป็นแมตซ์แห่งความอัปยศ เนื่องจากทั้งคู่เล่นไม่สมศักดิ์ศรี อยากแย่งกันแพ้ เพื่อเลี่ยงการไปเจอกับ บราซิล เบอร์ 1 ของโลก ในรอบน็อคเอาต์
ล่าสุด ฟีฟ่า ไม่อยู่เฉย กำลังตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเกมนี้อย่างเร่งด่วนแล้ว คาดว่าจะออกมาประกาศผลการตรวจสอบในเร็วๆนี้อย่างไรก็ตามเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก โดยในอดีตที่ผ่านมาเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาแล้วเช่นกัน วันนี้เลยจะพาย้อนรอยไปดูแมตช์การแข่งขันที่สร้างความเสื่อมเสียและความอัปยศ ให้กับวงการฟุตบอล จนถูกประณามของคนทั่วโลกมาแล้ว
อันดับแรก ย้อนไปในปี 1978 ฟุตบอลโลกที่อาร์เจนติน่า มาถึงรอบสอง เหลือ 8 ทีมสุดท้าย แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม แข่งแบบพบกันหมดในกลุ่มอีกครั้ง (เมื่อก่อนยังไม่มีรอบน้อคเอาต์) โดยจะเอาแชมป์กลุ่มจะเข้าไปชิงถ้วยบอลโลก ที่สองของกลุ่มชิงอันดับสามกัน
สถานการณ์ก่อนลงสนามนัดสุดท้ายกลุ่มบี บราซิล ลงสนามก่อนอาร์เจนติน่า เจ้าภาพ โดยทีมบราซิลชนะโปแลนด์3-1 มี 5 แต้ม ส่วนอาร์เจนตินา ลงสนามในอีกสองชั่วโมงต่อมาพบกับ เปรู ถ้าอาร์เจนติน่าชนะก็มี 5 แต้มเท่ากัน ต้องนับประตูได้เสีย ซึ่งก่อนแข่งพบว่า ถ้าจะเป็นแชมป์กลุ่มและเข้าไปชิงถ้วยบอลโลก ฟ้าขาวต้องชนะ เปรู 4 ลูก
แต่เกมนั้นจบลงด้วยชัยชนะของอาร์เจนติน่า 6-0 พร้อมทั้งข้อครหามากมายว่า เปรู ล้มบอลให้ฟ้าขาวผ่านไปชิงชนะเลิศกับเนเธอร์แลนด์แบบน่ากังขาถัดมา ในฟุตบอลโลกปี 1982 กับแมตช์อื้อฉาวระหว่างทีมชาติเยอรมันตะวันตกกับออสเตรียที่เมืองกิฆอน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 1982 ฟุตบอลโลกที่สเปน รอบแรกนัดสุดท้าย เยอรมนี (ต.ต) พบกับ ออสเตรีย และ อัลจีเรีย พบ ชิลี
ก่อนลงสนามออสเตรีย ชนะ 2 นัด (ชนะอัลจีเรียและชิลี) มี 4 แต้ม ยุคนั้นถ้าชนะได้ 2 แต้ม ส่วนเยอรมนี เปิดตัวแพ้อัลจีเรีย 1-2 ก่อนชนะชิลี 4-1 เยอรมนี มี 2 แต้ม ส่วน อัลจีเรีย ก็มี 2 แต้ม จากการชนะเยอรมนี,แพ้ออสเตรีย
ทำให้เยอรมนีต้องการ คือ เอาชนะด้วยผลต่าง 1 -2 ลูก เพื่อให้มี 4 คะแนนเท่ากัน เกมนี้ ฮอร์ส ฮรูเบช ยิงประตูตั้งแต่นาทีที่ 10 หลังจากได้สกอร์ที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายแล้ว เกมก็ดำเนินการไปแบบติ๊ดชึ่ง คือ ส่งบอลกันไปกันมา จนเกมนัดนั้นถูกขนานนามว่า (Disgrace of Gijon) แปลว่า แมตช์อัปยศที่กิฆอน ส่งผลให้ เยอรมนี เข้าที่1 ออสเตรีย ที่ 2 เข้ารอบ ส่วนอัลจีเรีย ตกรอบ
บอลแมตช์นั้นถูกวิจารณ์แง่ลบไปทั่วโลกว่า ออสเตรีย เล่นเพื่อแพ้เยอรมนี จูงกันเข้ารอบ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มต้องเตะพร้อมกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล็อกผลการแข่งขันได้ มาต่อฟุตบอลโลก 1998 กลุ่ม D ไนจีเรียเริ่มต้น 2 นัดแรกด้วยผลงานเลิศหรู ชนะสเปนแบบช็อคโลก 3-2 (สเปนยุคนั้นเป็นตัวเต็ง ฉายาหมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม) และชนะบัลแกเรีย มี 6 คะแนน เข้ารอบแน่นอนแล้ว เกมสุดท้ายยังไงก็ได้ ส่วนสเปนที่แพ้นัดแรก กลายเป็นเสือลำบากเพราะทำได้แค่เสมอปารากวัย ต้องมาเน้นนัดสุดท้ายกับบัลแกเรีย ซึ่งก็ตามคาดไล่ยำบัลแกเรีย 6-1 มีเพียง 4 คะแนน
แต่ปัญหาคือ ปารากวัยทีมที่มีแนวรับเหนียวแน่น แต่กองหน้าก็ห่วยบรม เสมอโนสกอร์มา 2 นัดแรก…แต่นัดสุดท้ายกลับสามารถเอาชนะไนจีเรียแชมป์กลุ่มไปได้ 3-1 ทำคะแนนแซงเข้ารอบเป้นอันดับที่ 2 ของกลุ่มซะงั้น ปิดฉากขุนพลกระทิงดุกลับบ้านตั้งแต่รอบแรกไว้อย่างเจ็บช้ำ ปิดท้ายกับความอัปยศของฟุตบอลไทยและอินโดนีเซีย ย้อนไปในวันที่ 31 สิงหาคม ปี 1998 ณ สนามด่องฮัต สเตเดี้ยม ณ กรุงโฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม
เป็นการแข่งขัน ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือ ไทเกอร์คัพ (ชื่อใหม่คือ อาเซียน มิตซูบิชิ อิเล็กทริค คัพ ในปัจจุบัน) นัดประวัติศาสตร์ ระหว่างทีมชาติไทย พบทีมชาติอินโดนีเซีย แมตช์นี้ทั้งสองทีมไม่อยากมีใครเข้าเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มเอ เหตุผลเพราะว่าผลของกลุ่มบีนั้น เจ้าภาพเวียดนามดันทะลึ่งตกเป็นอันดับ 2 หากใครเข้ารอบเป็นที่ 1 จะต้องไปเจอกับเจ้าภาพนั่นเอง
ไทยต้องการแค่ผลเสมอ แต่อินโดนีเซียต้องการที่จะแพ้ จึงเป็นที่มาของแมตช์อัปยศดังกล่าว โดยเกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 90 สกอร์เสมอกันอยู่ที่ 2-2 ถ้าจบลงแบบนี้ ไทยจะเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ผ่านเข้าไปเจอกับสิงคโปร์ที่ 1 ของอีกกลุ่มทันใดนั้นเองกองหลังของทีมอิเหนา จับบอลหันหน้าเข้าฝั่งประตูตัวเอง พร้อมยิงลูกเข้าประตูตัวเองอย่างสวยงาม
ทำให้ไทยขึ้นนำอินโดนีเซีย 3-2 ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้เล่นและสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติไทย จบเกม อินโดนีเซียถีบไทยให้เข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มเอ ไปเจอกับ เจ้าภาพ เวียดนาม ส่วนตัวเองเข้ารอบไปเจอกับสิงคโปร์ ในรอบรองชนะเลิศ แต่สุดท้ายทั้งไทยและอินโดนีเซีย ตกรอบทั้งคู่ ทำให้แมตช์นี้กระหึ่มไปทั่วโลก สร้างความเสื่อมสีย ให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก และยังเป็นที่พูดถึงกันมาจนทุกวันนี้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews