“ทรัมป์ 2.0” ศก.ไทยท้าทาย
ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดสำหรับนโยบายของ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่เพราะนโยบายที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น “อเมริกาต้องมาก่อน” รวมถึง “มาตรการทางภาษี”ที่เชื่อมโยงกับความดุดันของ “สงครามการค้า” สร้างความหวาดหวั่นไปทั้งโลก
จากรายงาน Word Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ของ IMF ประเมินว่าความไม่แน่นอน จากการดำเนินนโยบาย กีดกันทางการค้าที่ยกระดับ นอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศแล้วยังจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัว และสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินซึ่งต่างเป็นปัจจัยลบที่กดดันจีดีพีของประเทศต่าง ๆ รวมถึงสหรัฐฯด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ภาคเอกชนไทยจะต้องวางแผนรับมือพร้อมกับสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจภายใต้นโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่นี้อย่างไร สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถาม “รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร”ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ในประเด็นดังกล่าว โดย “รศ.ดร.ปณิธาน” กล่าวว่าภาคเอกชนไทยมีความใกล้ชิดกับภาคเอกชนของสหรัฐฯซึ่งเชื่อมโยงกับพรรครีพับลิกันอยู่แล้วแต่สิ่งที่จะเร่งดำเนินการก็คือ การผลักดันให้กลุ่มหรือคณะหรือตัวแทนเข้าไปผลักดันในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น
ขณะที่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลของนโยบายกีดกันทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์ 2 จะทำให้โครงสร้างและพัฒนาการของระบบการค้าเสรีของโลกเปลี่ยนแปลงไป โลกาภิวัตน์จะไม่เหมือนเดิม และคาดว่าประเทศอื่น ๆโดยเฉพาะจีนก็จะตอบโต้ทางการค้า และมองว่าสงครามการค้ารอบนี้ จะมีประเทศที่ได้ประโยชน์ประเทศที่เสียประโยชน์แตกต่างกันไปตามโครงสร้างการค้าและเศรษฐกิจของประเทศนั้นรวมทั้งยุทธศาสตร์และความสามารถในการตอบสนองต่อความท้าทายนี้
ดังนั้นไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนการผลิตโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองมากขึ้น พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองมากขึ้นระบบการค้าโลกจะเป็นเรื่องของการต่อรองและการตอบโต้กันไปมา มากกว่าการทำกฎระเบียบที่ตกลงกันไว้มาเป็นกรอบในการดำเนินการทางการค้า
ด้านธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี68 ยังเผชิญความไม่แน่นอน ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงด้านต่ำต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะข้างหน้า โดยเฉพาะสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นถือเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังจีน รวมถึงการแย่งตลาดต่างประเทศและการเข้ามาตีตลาดจากจีนความไม่แน่นอนข้างต้นเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการจีดีพีไทยซึ่งอาจต่ำกว่าคาด
จากนี้ต่อไปจะต้องจับตานโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” อย่างใกล้ชิดเพราะเชื่อแน่ว่าหลังจากที่เขาได้เข้าพิธีสาบานตนตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568จะต้องมีเซอร์ไพรส์ให้ทั่วโลกต้องตะลึงอีกอย่างแน่นอน และที่สำคัญผลลัพธ์จากการที่นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” เพื่อแสดงความยินดีที่ชนะเลือกตั้งและได้ย้ำถึงความพร้อมของไทยที่จะทำงานร่วมกับสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ก็จะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า สหรัฐและไทยจะสนับสนุนร่วมมือกันอย่างไร เพราะสุดท้ายย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews