วิกฤติโลก ภาษีทรัมป์ ไทยจ่อเพิ่มเพดานหนี้
สร้างความปั่นป่วนไปทั้งโลก สำหรับมาตรการภาษีนำเข้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” เรียกเก็บกับประเทศคู่ค้า แต่ในเวลาต่อมาได้แตะเบรคระงับขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นระยะเวลา 90 วัน แต่ยืนยันขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 145%
และล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ที่ 11 เมษายน ตามเวลาในสหรัฐฯหรือเช้าวันเสาร์ที่ 12 เมษายนตามเวลาในประเทศไทย ระบุว่า สมาร์ทโฟน จอคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยกเว้น
สำหรับประเทศไทยนั้น ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า การที่สหรัฐฯได้เลื่อนเก็บภาษีนำเข้า 36% ออกไป 90 วัน เหลือการจัดเก็บเพียง 10% เท่ากับหลายประเทศนั้นน่าจะลดแรงกดดันต่อความกังวล FDI ลดลงในไทยไปได้บ้าง
นอกจากนี้ หากพิจารณาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ไทยได้ดุลการค้า กับสหรัฐฯคิดเป็นสัดส่วนราว 26.5% ของดุลการค้าทั่วโลก ฝ่ายวิจัย ประเมินกรณีที่ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯลดลงทุกๆ 1% คาดกระทบต่อจีดีพีไทยราว -0.01% ซึ่งหากไทยไม่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯเลยจะกระทบกับจีดีพีไทยราว 1.15% พร้อมมองว่า การรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก หากดีลภาษีทรัมป์ล่ม หรือเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมแผนสำรอง “เพิ่มเพดานหนี้” อาจขยับขึ้นไป 80% ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64.2%
ขณะที่ “นายกรณ์ จาติกวณิช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความถึงมาตรการภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยระบุว่า เชื่อว่ามีชาวอเมริกันไม่น้อย ที่ยังไม่เข้าใจว่า ภาษี 145% นั้นทรัมป์ไม่ได้เก็บจากคนจีน แต่เก็บจากผู้บริโภคคนอเมริกันถ้าสองประเทศยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เมื่อของที่อเมริกาเริ่มแพงขึ้น และชาวอเมริกันเริ่มตื่นตัว ทรัมป์ก็จะเริ่มเหนื่อย
ส่วนสินค้าที่จีนซื้อจากอเมริกาส่วนไหญเป็นปัจจัยการผลิต เช่นก๊าซ LNG หรือถั่วเหลือง ดังนั้นผลกระทบกับผู้บริโภคจะไม่เกิดขึ้นโดยตรง ในทางตรงกันข้ามแม้แต่สินค้าอเมริกันอย่างเช่น iPhone ก็ยังมีส่วนประกอบที่ผลิตในจีนถึง 80% ดังนั้นราคาหลังภาษี 140%นี่เป็นเหตุให้มีข่าว Apple เหมาเครื่องบิน cargo 5 ลำขน iPhone ไปตุนไว้ที่อเมริกาตั้งแต่ก่อนภาษีมีผลดีไม่ดีคนที่ยื้อได้มากกว่าในสงครามนี้คือจีน แต่ถ้ายื้อกันจริง ไม่ใช่เพียงแค่จีนกับอเมริกา แต่ทุกประเทศจะติดร่างแหไปด้วย
คำถามที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเมื่อถึงเวลาที่สองประเทศนี้เจรจายุติสงครามกัน ข้อตกลงจะเป็นอย่างไร โดยที่ข้อตกลงนี้ทั้งสองมหาอำนาจต้องสามารถอ้างได้ว่าตน ‘ชนะ’
จากนี้ต่อไปเมื่อสงครามการค้าเข้มข้นขึ้น ก็ต้องจับตาการเดินเกมรุกของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” อย่างใกล้ชิด เพราะรัฐบาลไทยยืนยันจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการเจรจากับสหรัฐฯ โดยมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ เพื่อจัดทำแผนรับมือ ซึ่ง “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และทำงานร่วมกับภาคเอกชนมาตลอด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้จากบทเรียนของประเทศต่าง ๆ ไปพร้อมกันด้วย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
