วัคซีนทิพย์-ฉีดไปลุ้นไป
วัคซีนทิพย์-ฉีดไปลุ้นไป
@ควันหลงติดปลายนวม หลัง“คิ๊กออฟวัคซีน”ไปเมื่อวาน(7มิ.ย.) นอกจากสร้างแรงกระเพื่อมให้คนตื่นกระแสแห่จองและไปฉีด วัคซีน คนเนืองแน่น อย่างที่“ผู้ว่าอัศวิน”บอกว่าพอใจภาพรวมฉีดไป 25 ศูนย์ ที่วันนี้ยังมีผู้คนมาต่อคิวฉีดทั้งกลุ่ม2“ผู้สูงอายุ”กลุ่ม7โรคเสี่ยง และกลุ่ม3 ประชาชน18-59ปี โดยยอดรวมเมื่อวานวันเดียว ฉีดได้ถึง416,847โดส ในจำนวนนี้63,454โดสฉีดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แม้วันนี้ยังมีภาพ หลายโรงพยาบาลตามต่างจังหวัด ยังคงมีปัญหาการเลื่อนนัดจองฉีดออกไปอยู่บ้าง แต่“อาการแพนิก”จากข้อมูล“คลัสเตอร์ใหม่”และการกลายพันธุ์ ที่มีสายพันธ์ดุ อย่างอินเดีย แอฟริกาใต้ หรือที่องค์การอนามัยโรค(WHO) เพิ่งตั้งชื่อให้ว่า เดลตา และ เบตา ที่โหดกว่า สายพันธุ์อังกฤษ หรือ “อัลฟ่า” ที่โผล่กันมาให้สะดุ้งกลัวว่า“อิสเดีย”จะแซงหน้า แบบคู่ขนานไปกับข่าวการฉีดวัคซีน
โดยล่าสุดมีรายงานพบสายพันธุ์อินเดียหรือเดลตา เพิ่มเป็น235ราย จากเดิมพบแค่ไม่กี่คนในแคมป์คนงานหลักสี่ที่กระจายหลุดออกไป 10 จังหวัด กรุงเทพมากสุด จาก74คลัสเตอร์พบ206ราย ทำให้หลายคนพยายามเข้าใจ“นายกฯลุงตู่”กับการเร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลแบบปูพรมเพราะเป็น“ต้นเพลิง”ที่ทำท่าจะลุกลามหากไม่สกัด
@ที่ทำให้เสียงบ่นจากโรงพยาบาลต่างจังหวัดกับ อาการเออร์เลอร์“วัคซีนทิพย์”และ“การเท”นัดพอาจะปิดตาไม่ถูกต่อว่าไปได้ แม้จะมีภาพ “ปลัดสธ.”สั่งตั้งกรรมการสอบโรงพยาบาล ที่ออกมาโวยจนทำให้กระแส“ตีกลับ”ทำให้วันนี้(8มิ.ย.) “หมอหนู” ต้องออกมาแจงว่า เป็นแค่การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงถึงสาเหตุที่หลายโรงพยาบาลเลื่อนฉีดวัคซีน ออกไป แต่ไม่ได้เพ่งโทษ แค่อยากรู้ปัญหา เพราะ สธ. มีแนวทางชัดเจนในการทยอยส่งวัคซีนไปยังจังหวัดต่างๆ ตามการพิจารณาของศบค. ดังนั้น วัคซีนขาเข้าทยอยเข้ามา ขาออกเราก็ทยอยส่งออกไป ซึ่งโรงพยาบาลต้องมีการบริหารฉีดให้เหมาะสมกับปริมาณวัคซีนที่ได้รับในแต่ละสัปดาห์ ไม่ได้เป็นการชะลอฉีดเพื่อรอจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม แต่เพื่อป้องกันปัญหาและลดภาระของ รพ. นั้นๆ ในอนาคต เนื่องจากจะต้องมีการฉีดในเข็มที่ 2 ดังนั้น หากบริหารจำนวนฉีดแต่ละวันไม่ดี ก็จะกระทบการให้บริการฉีดวัคซีนในอนาคตได้ ส่วนเรื่องของวัคซีนก็มั่นใจได้ว่าเราจะเร่งทยอยส่งออกไป ของเข้ามาเมื่อไหร่ เราเก็บไว้ในมือก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่เราจะเร่งส่งไปฉีดให้เร็วที่สุด
@เรียกว่าเอาเข้าจริง ต้องยอมรับว่า ตอนนี้ผู้คนนอกจากกังวล“เอฟเฟ็กต์วัคซีน”ของ“แอสตราเซเนกา”ที่กลายเป็น“ของหายาก”ตอนนี้แล้ว สำหรับคนที่ได้ฉีดเข็ม1 เมื่อวานที่ส่วนใหญ่เป็น“แอสตราเซเนกา” ยังหันมากังวลเรื่อง“เข็ม2”ทั้งประเด็น“ระยะห่าง”ที่หลายคนเว้นไปถึงเดือนก.ย.หรืออีก3เดือน และประเด็นที่ว่าฉีดคนละยี่ห้อในเข็ม2ได้มั้ย ซึ่งยังไมมีอธิบายชัดเจนนอจากภาพกว้างๆว่าเว้นยาวได้หลายสัปดาห์ แต่ก็มี“หมอ”หลายคนยอมรับว่า ผลส่วนหนึ่งในการปรับสภาพ มาจาก“ความอัตคัต”ของ“วัคซีน”ที่รัฐบาลไม่มีอยู่ในมือเพียงพอในการเร่งกระจายฉีดตามนโยบาย“นายกลุงตู่”
อย่างเช่นที่“นพ.ธีรวัฒน เหมะจุฑา”จากจุฬาฯโพสว่า“วัคซีนวันนี้อาจไม่มีน้ำบ่อหน้ามีอะไรก็รีบฉีด” โดยบอกว่าความคิดของเข็มหนึ่งและเข็มสองไม่เหมือนกันคนละยี่ห้อ หรือเข็ม1และ2ห่างกันนานๆ เป็นตรรกะปนๆ กันทั้งทางวิทยาศาสตร์และจากความอัตคัดของวัคซีนแต่ยอมรับได้ แต่ทั้งนี้ เมื่อไวรัสมีความเพี้ยน การฉีดห่างกันเกินไป อาจทำให้หลุด มีติดเชื้อได้ทำให้ ต่างประเทศ ต้องบีบ เข็มสอง เข้าใกล้กับเข็มแรก ส่วนเข็มที่สาม เป็นแนวคิดที่จะจับตัวไวรัสที่เพี้ยนไป โดยถ้าการเพี้ยนไม่มาก การเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในน้ำเหลืองสูงๆหวังว่าจะจับแน่นขึ้น แต่อาจใช้ไม่ได้ผลเต็มที่ถ้ากลไกเป็นการหลบหลีกหนีของไวรัสอย่างสมบูรณ์แบบ
@เช่นเดียวกับการตั้งข้อสังเกตและเสียงติดง จากฝายปฏิบัติผ่าน“เพจชมรมแพทย์ชนบท” ที่ว่า หากฉีดในอัตราวันที่ 7 มิ.ย.คือ 4 แสนโดสต่อวัน ภายในสัปดาห์นี้ วัคซีนที่ได้มา 2.75 ล้านโดสรวมแอสตร้าและซิโนแวคจะหมดลง คนที่นัดรับวัคซีนในสัปดาห์หน้านั้น จะมีวัคซีนให้เขาฉีดไหมต้องรีบบอกโรงพยาบาล ผู้ปฏิบัติงานทุกคนเข้าใจว่า วัคซีนเป็นของหายาก วัคซีนมาทันหรือไม่ทันก็เข้าใจได้ สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด ที่ขอให้รัฐบาล ศบค.และ สธ. บอกกล่าวคือ“ความจริง”และ“ความชัดเจน”มีก็บอกว่ามี ไม่มีก็บอกว่าไม่มี มาทันมาไม่ทันก็บอกให้ชัด ความจริงจะสร้างความเข้าใจ วันที่7เริ่มต้นมาค่อนข้างดีแล้ว หลังจากนี้ขอแต่ความจริงที่ชัดเจน เพื่อพื้นที่จะได้คิดต่อและบริหารจัดการต่อได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news