กระสุนหมด-ศึกโควิด
@แม้ว่า ตัวเลขโควิดรายวัน จะดู”พุ่งแรง”ทำ”นิวไฮ”ต่อเนื่อง โดยวันนี้ ยอดติดเชื้อพุ่งไปที่ 2 หมื่นเป็นครั้งแรกที่ 20,200 ราย เสียชีวิต 188 แบบที่ดูจะสอดรับกับ “แบบจำลองผู้ติดเชื้อ และ ผู้เสียชีวิต รายวัน”ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกมาวันวันก่อน(1ส.ค.)โดยมีการประเมินสถานการณ์ถึงกลางเดือนสิงหาคม ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ทะลุ 2 หมื่น ค่อนข้างแม่น กับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นวันนี้(4ส.ค.) อย่างน่าสนใจต่อไป ว่าจะพุ่งไปที่ 25,000 ในวันที่ 14 ส.ค.และผู้เสียชีวิต จะพุ่งไปถึง 200 คน/วัน ในวันที่ 9-10 ส.ค. และเพิ่มเป็น 250 คนในวันที่ 14 ส.ค. ตามแบบจำลองหรือไม่
ในขณะ”คู่ขนาน”ก็มี”สัญญาณบวก”อยู่บ้างจากตัวเลข”การหายป่วย”ที่เพิ่มตามมาที่ 17,955 รายของวันนี้ แม้จะมีตัวเลขผู้ป่วยในโรงพยาบาลและผู้ป่วยหนักที่ยังล้นระบบ โดยสะท้อนผ่านยอดผู้เสียชีวิต และภาพการรอเตียงเสียชีวิตที่บ้าน และ ริมถนน ที่ยังคงเกิดขึ้นและแปรสภาพกลายเป็น”ความสิ้นหวัง”และตัดสินใจ “คิดสั้น” เมื่อตรวจพบว่า”ติดโควิด”ของหลายชีวิต
@โดยน่าสนใจคือการที่แวดวงหมอด่านหน้าและอาจารย์หมอ เริ่มมีการพูดถึง”กระบวนการรักษา”ที่ให้น้ำหนักกับตัวเลข “ผู้ติดเชื้อรายวัน”ลดลง แต่เริ่มโฟกัสมาที่ตัวเลข“ผู้เสียชีวิต”ที่สอดรับกับ ข้อปฏิบัติที่ออกมาจาก “กรมการแพทย์ สธ.”เรื่อง “แนวทางดูแลผู้ที่มีผลการตรวจหาเชื้อโควิดด้วย Antigen test kit(ATK)เป็นบวก”ที่ระบุในข้อ1ว่า หากผล ATK เป็นบวก เรียกว่า “ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย”(Proable cases)สามารถรับยาและเข้ารับการรักษาแบบ Home isolation ได้ทันที ซึ่งภายหลังเริ่มเห็นมีการ แยกตัวเลข “ยอดตรวจ ATK” ในรายงานประจำวันของ สธ. คู่ไปกับการเพิ่ม ปฏิบัติการ”ตรวจเชิงรุก”ที่ทำให้ตัวเลขติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น
@ที่เริ่มมีฝ่ายต่างๆไม่แต่กลุ่มอาสาประชาชนอย่าง”กลุ่มเส้นด้าย”ที่เข้าไปช่วยผู้ป่วยรอเตียง ยังมี”กลุ่มชมรมแพทย์ชนบท”ที่ระดมทีมบุคลากร แพทย์ ต่างจังหวัด400คน40ทีมเข้ามาช่วย”ปฏิบัติการตรวจเชิงรุก”24จุดในกรุงเทพฯวันนี้ถึง10ส.ค. โดย เป้าหมายคือค้นหาผู้ติดเชื้อให้มาก เจอให้เร็ว รักษาจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์เร็วขึ้น และนำเข้าระบบ home isolation ลดอัตราป่วยหนักที่ต้องการเตียงโรงพยาบาลที่ล้นและลดอัตราการเสียชีวิตอันเนื่องจากการเข้าไม่ถึงยาหรือเข้าไม่ถึงโรงพยาบาลลงได้ แบบที่มีรายงานจากโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ว่า มีผู้ป่วยในระบบ home isolation ประมาณ40%ที่หายป่วย
@โดยแนวทางการพุ่งไปที่ “การรักษา”และ “การให้ยา” แบบที่ทำให้”ผู้ป่วยเขียว”ไม่เป็นเหลือง เหลือง ไม่เป็นแดง จนไปเสียชีวิตในโรงพยาบาลสนาม หรือในโรงพยาบาลต่างๆ นั้น เริ่มมีการพูดถึงในแวดวงหมอ ที่ทำให้มีการ”โฟกัส”มาที่ยารักษาอย่าง “ยาฟาวิพิราเวียร์”ที่ปัจจุบันยังติดในเรื่องระบบการจ่ายยา ยังมีข้อระเบียบเป็น”คอขวด”ทำให้เกิดความ “ไม่คล่องตัว”และยาไปถึง”ผู้ป่วย”ช้าจนเสียชีวิต ที่แม้จะมีการให้”รักษาที่บ้าน”และดูแลจากหมอแต่ในทางปฏิบัติยังติดที่การส่งยาให้ทันอาการ อย่างที่มีเสียงเป็นห่วงจาก ”หมอหน้างาน”ว่า “ยาขาดแคลน”ไม่ว่าจะการใช้ในโรงพยาบาลของรัฐ รพ. ของเอกชน ทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด รวมถึงการทำ home insulation
@ดังที่กำลังมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องยาเช่น “สภาเภสัชกรรม” มีการ ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเร่งการผลิต“ยาฟาวิพิราเวียร์”ในไทย สนองตอบความต้องการ การรักษาชีวิตผู้ป่วยโควิด เดือนละประมาณ 30 ล้านเม็ด หลังจากที่วันก่อน องค์การเภสัชกรรม ออกมาชี้แจง และ ยืนยันว่า ไทยจะมียา Favi ที่ผลิตได้เองอย่างเพียงพอในประเทศเดือนละ 40ล้านเม็ดในเดือนตุลาคม
โดย”สภาเภสัช”ฉายภาพให้เห็น ว่า ถ้ามีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่วันละสองหมื่นคนแบบวันนี้ ต้องใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 50-70 เม็ดต่อคน จึงต้องการยาประมาณ 1 ล้านเม็ดต่อวัน หรือ 30 ล้านเม็ดต่อเดือน และความต้องการจะเพิ่มขึ้น ถ้าประเทศยังไม่สามารถคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาความตึงตัวของปริมาณยาในประเทศ ทำให้ต้องทยอยกระจายยาให้ผู้ป่วย
@เช่นเดียวกับ “หมอด่านหน้า”จาก รพ.สนามธรรมศาสตร์ ที่บอกว่า หมอยังไม่ได้ห่วงไปถึงสถานการณ์ในเดือนต.ค. เพราะ “สงครามไวรัส”รอบนี้ จะต้องแก้ปัญหารายวัน แต่หมอกำลังเป็นห่วงว่า ถ้าจำนวนผู้ป่วยใหม่ยังสองหมื่นต่อวันแบบวันนี้ ลากยาวไปถึงกลางเดือนสิงหา หมอที่อยู่แนวหน้าก็น่าจะหมดกระสุนกันทั่วทั้งประเทศ และถ้าไม่มีกระสุน รบไม่ได้ ก็อาจต้องหยุดรบ ซึ่งจะทำให้คนตายเพิ่มมากขึ้นซึ่งหมอกลัวกันมาก ว่าสถานการณ์นี้จะมาถึง จะมีใครมาช่วยยืนยันและให้ความมั่นใจกับพวกหมอที่อยู่ในแนวหน้าได้ไหมว่าจะมียา Favi เพียงพอในเดือนสิงหาและกันยายน ใครก็ได้ที่มีอำนาจ มีหน้าที่ และปกครองประเทศนี้อยู่ตอนนี้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news